โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดโตกระฉูด คาดมีการลงทุนกว่า 1.7 ล้านล้านบาท ภายในปี 80
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้แผนพีดีพีฉบับใหม่ สนับสนุนให้เกิดการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้า
ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เผย แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ พีดีพี (PDP) ฉบับใหม่ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากกระบวนการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593
ดังนั้น ภาครัฐจึงให้การสนับสนุนการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและระบบบริหารจัดการไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีแผนดังนี้
1. ภาครัฐมีแนวโน้มเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยคาดว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภท จะขยายตัว 14.5% ต่อปี มาอยู่ที่ 48,666 เมกะวัตต์ในปี 2580 ซึ่งคิดเป็น 43% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด.
2. ผลที่ได้ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 27.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) คิดเป็น 57% ของเป้าหมาย Carbon Neutrality ซึ่งยังอยู่ในระดับที่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2593
3. นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เผยรายได้รวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 1 แสนล้านบาทในปี 2566 เป็น 2.9 แสนล้านบาทในปี 2580 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.9%
4. ภาครัฐเตรียมรับซื้อไฟฟ้าจากกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด 39,693 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2567-2580 โดยแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 30,412 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม 7,845 เมกะวัตต์ และ โรงไฟฟ้าชีวมวล 1,436 เมกะวัตต์
5. จากแผนดังกล่าว คาดว่าจะก่อให้เกิดเงินเม็ดลงทุนในการก่อสร้างทั่วประเทศกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ราว 1.1 ล้านล้านบาท โรงไฟฟ้าพลังงานลม 4.6 แสนล้านบาท และโรงไฟฟ้าชีวมวล 1.3 แสนล้านบาท
6. โดยภาคเหนือจะมีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์มากที่สุด เนื่องจากภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าแสงอาทิตย์จากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในภาคเหนือมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 30.5% ของการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งประเทศ
7. ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมมากที่สุด โดยภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมจากภาคตะวันออกเหนือเกือบทั้งหมด หรือ 92% ของการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมทั้งหมด
8. สำหรับการลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลนั้น ทุกพื้นที่มีศักยภาพในการผลิต ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อเพลิงที่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยควรเลือกใช้วัสดุเหลือใช้ในการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
9. โรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ควรเลือกใช้ใบและยอดอ้อย และฟางข้าวเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ขณะที่โรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งในภาคใต้ควรเลือกใช้ผลพลอยจากปาล์มเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพราะเป็นวัสดุที่เหลือใช้ในภาคดังกล่าวจำนวนมาก