ศธ.เตรียมสุ่มตรวจ ATK ในโรงเรียนทุก 2 สัปดาห์ ล่าสุดเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 1.5 แสนคน จาก 3.8 ล้านคน ยันวัคซีนเด็กมาตรฐานระดับสากล
Highlight
ไทยเดินหน้าฉีดวัคซีนหลังจากมีนักเรียนโดยการอนุมัติจากผู้ปกครองจำนวนกว่า 3.8 ล้านคน คิดเป็น 71% จากจำนวนกว่า 5 ล้านคน เพื่อรับวัคซีนป้องกัยโควิด-19 ก่อนเปิดเทอมที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ กระทรวงสาธารณสุขย้ำว่าวัคซีนไฟเซอร์ที่นำมาฉีดเด็ก 12-18 ปี ผ่านการรับรอง 3 หน่วยงานหลัก คือ องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) และองค์การอาหารและยาของไทย (อย.) คุณภาพและมาตรฐานระดับสากล
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ ยังพิจารณาให้มีการตรวจ ATK (Antigen Test Kit) แบบสุ่มตัวอย่างประมาณ 10-15% ของจำนวนนักเรียนในทุก ๆ 2 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักเรียนในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์
สำหรับการเดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเดือนตุลาคม 2564 ให้แก่นักเรียน นักศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 12-18 ปีทุกคนผ่านสถาบันการศึกษานั้น ในขณะนี้มีผู้แจ้งความประสงค์เข้ารับการฉีดแล้วประมาณ 3.8 ล้านคน จากตัวเลขกลุ่มเป้าหมายมีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน คิดเป็น 71% และคาดว่ามีตัวเลขผู้แจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ตัวเลขการฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. มีนักเรียนที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 1 แล้วประมาณ 150,190 ราย คิดเป็น 3.3 % และฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้วประมาณ 1,825 ราย โดยกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข จะเดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็ก/นักเรียน อย่างต่อเนื่อง
น.ส.รัชดา กล่าวว่า การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กนักเรียนมีความสำคัญมาก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันของสังคมให้เข้มแข็งมากขึ้นและให้เด็กได้กลับไปเรียนในรูปแบบปกติโดยเร็ว พร้อมเตรียมรับการเปิดภาคเรียนเดือนพฤศจิกายนนี้
สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลนำมาฉีดให้กับเด็กนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงได้มาตรฐานระดับสากลและทั่วโลกยอมรับ โดยได้ผ่านการตรวจสอบและอนุมัติรับรองคุณภาพเรียบร้อยแล้วทั้งจากองค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือเอฟดีเอ (FDA) รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขของไทยด้วย
น.ส.รัชดา กล่าวว่า แม้การฉีดวัคซีนไฟเซอร์จะมีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ อยู่บ้าง ทั้งผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หนาวสั่น รวมถึงผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่จากข้อมูลของคณะอนุกรรมการด้านโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับโลกด้านความปลอดภัยของวัคซีนประจำองค์การอนามัยโลก (GACVS) ระบุว่า วัคซีนชนิด mRNA มีประโยชน์ในการป้องกันโรคโควิด-19 มากกว่าความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตจาก COVID-19 ได้
ขณะที่หลายประเทศได้เดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กไปก่อนหน้านี้แล้ว อาทิ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สเปน นอร์เวย์ เป็นต้น ทางบริษัท ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค (Pfizer - BioNTech) ยังได้ยื่นคำขอต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อย่างเป็นทางการแล้วเพื่อให้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิด-19 กับเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี เป็นการฉุกเฉิน หากผ่านการรับรองของ FDA คาดจะสามารถใช้ได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้
ที่มา : Thaipbs