17 เมษายน 2565
2,807

“พกบัตรประชาชนใบเดียว” ช่วงสงกรานต์ เจ็บป่วยฉุกเฉินเข้า รพ.รัฐ ใช้สิทธิ UCEP-บัตรทองได้

“พกบัตรประชาชนใบเดียว” ช่วงสงกรานต์ เจ็บป่วยฉุกเฉินเข้า รพ.รัฐ ใช้สิทธิ UCEP-บัตรทองได้
Highlight

รมว.สาธารณสุข ได้สั่งการให้ สปสช.ดูแลประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ฝฝฝ ดูแลพร้อมแจ้งผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง” หากเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ในการเข้ารับบริการแบ่งเป็น 2 กรณี กรณีเจ็บป่วยระดับฉุกเฉินวิกฤติ และ กรณีเจ็บป่วยที่ไม่ใช่ระดับฉุกเฉินวิกฤติ ประชาชนที่เจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัว ในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ รวมทั้งการเข้ารับการรักษากรณีผู้ป่วยโควิด เพียงใช้ “บัตรประจำตัวประชาชน” ใบเดียว


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวว่า มีความเป็นห่วงประชาชนสิทธิบัตรทอง ที่ต้องเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยหากเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ ตามนโยบาย UCEP ส่วนกรณีเจ็บป่วยไม่ถึงขั้นวิกฤติ แต่จำเป็นต้องรับการรักษา รวมถึงเจ็บป่วยทั่วไปใช้บริการ “ปฐมภูมิ 30 บาทรักษาทุกที่” ส่วนกรณีติดเชื้อโควิด-19 เข้าข่ายกลุ่มเหลือง/แดง ใช้สิทธิ “UCEP Plus” ในส่วนของกลุ่มสีเขียว รับบริการ “เจอ แจก จบ” หน่วยบริการที่อยู่ใกล้ได้ พร้อมแนะประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เน้นย้ำเดินทางอย่าลืมบัตรประชาชน

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 65 นี้ ซึ่งเป็นช่วงมีวันหยุดยาวระหว่างวันที่ 13-17 เม.ย. 65 เมื่อรวมวันหยุดราชการเสาร์และอาทิตย์รวมเป็น 5 วัน แม้ว่าจะอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่มีประชาชนส่วนหนึ่ง จำเป็นต้องเดินทางกลับบ้าน รมว.สาธารณสุข จึงได้สั่งการให้ สปสช. ดูแลพร้อมแจ้งผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง” หากเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ในการเข้ารับบริการแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้

1. กรณีเจ็บป่วยระดับฉุกเฉินวิกฤติ หากไม่รักษาทันทีมีโอกาสเสียชีวิตสูง สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ได้ที่สถานพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ใกล้สุดโดยเร็ว เป็นไปตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิ์ทุกที่ (Universal Coverage for Emergency Patients: UCEP) ของรัฐบาล โดยให้สถานพยาบาลที่ให้การรักษาเบิกค่าใช้จ่ายค่ารักษาจาก สปสช. ตามอัตราที่กำหนด

2. กรณีเจ็บป่วยที่ไม่ใช่ระดับฉุกเฉินวิกฤติ หรือกรณีผู้มีสิทธิบัตรทองที่เดินทางไปต่างถิ่นแล้วมีความจำเป็นต้องเข้ารักษาพยาบาล เช่น มีความดันโลหิตขึ้นสูง ปวดศีรษะ ปวดท้อง เป็นต้น สามารถเข้ารับบริการ “ประชาชนที่เจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัว ในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้” หรือ “30 บาทรักษาทุกที่” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายยกระดับบัตรทอง ที่ได้ขยายบริการทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 โดยสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิในระบบบัตรทองที่อยู่ใกล้ที่สุด เพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียว และไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวเหมือนในอดีต

นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ในกรณีที่ติดเชื้อโควิด-19 และอยู่นอกพื้นที่หน่วยบริการประจำนั้น หากมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงโดยอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองและสีเขียว สามารถใช้สิทธิ UCEP Plus เพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ได้ และในกรณีที่มีอาการไม่มาก เป็นผู้ป่วยโควิด-19 ในกลุ่มสีเขียวก็สามารถเข้ารับบริการ

 “ผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน” หรือ “เจอ แจก จบ” ในหน่วยบริการที่อยู่ใกล้ได้ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งนอกจากบริการที่โรงพยาบาลแล้ว ยังสามารถเข้ารับบริการนี้ได้ที่ร้านยาที่เข้าร่วมได้เช่นกัน

“การเข้ารับบริการรักษาพยาบาลในช่วงของการเดินทางอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิบัตรทอง นอกจากเตรียมบัตรประจำตัวประชาชนที่เป็นหลักฐานสำคัญแล้ว ควรศึกษาข้อมูลหน่วยบริการที่อยู่ในพื้นที่ระหว่างเดินทางและจุดหมายปลายทาง 

เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการเข้ารับบริการหากมีเหตุจำเป็น เพื่อความไม่ประมาท ส่วนประชาชนที่เจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหอบหืด เป็นต้น ควรเตรียมพร้อมยารักษาโรคเพื่อให้เพียงพอสำหรับการเดินทางด้วย” นพ.จเด็จ กล่าว

นพ.จเด็จ กล่าวย้ำว่า ขณะนี้โรคโควิด-19 มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้าง และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนมาก รวมถึงผู้เสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับจากการคาดการณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาเตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงหลังสงกรานต์นี้ ดังนั้นขอประชาชนลดการเดินทางไปต่างจังหวัด ให้เป็นผู้ที่มีความจำเป็นเท่านั้น

“ให้ระมัดระวังดูแลและป้องกันตนเองและคนที่เรารัก ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่อย่างน้อย 30 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์ การลดความเสี่ยงเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง และการเว้นระยะห่าง เป็นต้น ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จะลดลงได้อยู่ที่ความร่วมมือของคนไทยทุกคน” นพ.จเด็จ กล่าว

ติดต่อโฆษณา!