16 กรกฎาคม 2565
1,029

โควิดโอมิครอน BA.5 แพร่เชื้อได้เร็ว มีโอกาสติดซ้ำ กว่าไวรัสทุกชนิดบนโลก

โควิดโอมิครอน BA.5 แพร่เชื้อได้เร็ว มีโอกาสติดซ้ำ กว่าไวรัสทุกชนิดบนโลก
Highlight

ไวรัสโควิด-19 โอมิครอน BA.5 แซงหน้าเชื้อไวรัสทุกชนิดในโลกในด้านการแพร่กระจาย โดยคนติดเชื้อโอมิครอน BA.5 หนึ่งคนสามารถแพร่เชื้อต่อให้อีก 18.6 คน ทำให้โอมิครอน BA.5 มีการแพร่กระจายของเชื้อออกไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่เอเชียในขณะนี้ และมีโอกาสติดซ้ำได้ง่าย ในขณะที่ความรุนแรงยังไม่ชัดเจน สำหรับในประเทศไทย มีจำนวนผู้ป่วยเข้า รพ.เพิ่มขึ้น กระทรวงสาธารณสุข ขอให้ประชาชนกลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้เผยข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 โดยรายละเอียดดังนี้

เชื้อไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 สามารถแพร่ได้เร็วกว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์เดิมทุกสายพันธุ์ และเชื้อไวรัสโรคอื่น ๆ ทุกชนิดในโลก

ด้วยการเปรียบเทียบค่า R0 คนติดเชื้อ 1 คนแพร่เชื้อต่อให้คนอื่นกี่คน 

  • คนติดเชื้อเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อู่ฮั่น 1 คนแพร่เชื้อต่อให้อีก3 คน
  • คนติดเชื้อเชื่อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า 1 คนแพร่เชื้อต่อให้อีก1 คน
  • คนติดเชื้อเชื้อไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย1 หนึ่งคนแพร่เชื้อต่อให้อีก 9.5 คน
  • คนติดเชื้อเชื้อไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย5 หนึ่งคนแพร่เชื้อต่อให้อีก 18.6 คน

ในขณะที่คนติดเชื้อไวรัสอีสุกอีใส 1 คนแพร่เชื้อต่อให้อีก 12 คน และคนติดเชื้อไวรัสหัด 1 คนแพร่เชื้อต่อให้อีก 18 คน

ไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ในขณะนี้แซงหน้าเชื้อไวรัสทุกชนิดในโลกในด้านการแพร่กระจาย ในอนาคตเชื้อไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่เช่น BA.2.75 ที่เพิ่งพบในประเทศอินเดีย อาจจะแพร่ได้เร็วยิ่งกว่าสายพันธุ์ย่อย BA.5 ไม่มีใครคาดเดาได้ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ช่วงนี้ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนระมัดระวังตัวมากขึ้น โรคระบาดใหญ่ของโควิดยังไม่จบ เพราะเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.5 แพร่กระจายได้เร็วมาก ติดต่อกันง่ายที่สุด แต่โชคยังดีที่ไม่รุนแรงเพิ่มขึ้น ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือต่อไป และรีบไปรับวัคซีนป้องกันโรคโควิดเข็มกระตุ้นให้ครบทุกคน

BA.5 เป็นศัตรูที่น่ากลัวกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยระบาดมา

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์โควิดฯ ว่า โอมิครอน BA.5 แพร่ระบาดทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากสาเหตุสำคัญ คือ ความแข็งแรงของไวรัส (Viral fitness) ที่มากกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยระบาดมาก่อน มีสมรรถนะการขยายวงการระบาดเร็วขึ้น และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น

ในขณะที่ความรุนแรงของโรคนั้น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะฟันธง แต่หลายประเทศที่ BA.5 ระบาดมาก พบว่าทำให้มีผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นอย่างชัดเจน

แม้ว่าทั่วโลกจะมีการฉีดวัคซีนไปมากพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ด้วยความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ฉีด และภูมิจากการที่เคยติดเชื้อมาก่อน ทำให้พบมีการติดเชื้อมากขึ้น ทั้งในคนที่ไม่เคยติดมาก่อนและคนที่ติดเชื้อซ้ำ (Reinfection)

ด้วยเหตุผลข้างต้นที่กล่าวมานี้ จึงไม่แปลกใจที่มีหลายฝ่ายยกให้ BA.5 เป็นศัตรูที่น่ากลัวกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยระบาดมา.

โควิด-19 BA.5 หลบภูมิคุ้มกันได้ดี เสี่ยงทำคนติดเชื้อซ้ำง่าย

ผู้เชี่ยวชาญประเมิน โควิด-19 โอมิครอน BA.5 เป็น “ไวรัสเวอร์ชันที่แย่ที่สุดที่เราเคยเห็น” เสี่ยงทำให้คนติดเชื้อซ้ำ

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่ของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ลูกหลานของตระกูลโอมิครอนตัวล่าสุดที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด

ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ทำการสุ่มตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกมาจัดลำดับพันธุกรรมเพื่อจำแนกสายพันธุ์ และพบว่า มีผู้ป่วยมากถึง 52% หรือครึ่งหนึ่งของตัวอย่าง ติดเชื้อโอมิครอน BA.5 เพิ่มขึ้นจาก 37% ของสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ในสหรัฐฯ คาดว่าสัดส่วนสายพันธุ์ที่ระบาดเป็น BA.5 ถึง 65%

WHO ยังบอกด้วยว่า การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ทำตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การระบาดของโควิด-19 โอมิครอน BA.5 จึงเป็นสัญญาณชัดเจนที่ตะโกนบอกเราดัง ๆ ว่า “โควิด-19 ยังไม่จบ”

ทั้งนี้ โควิด-19 โอมิครอน BA.5 ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะพบการระบาดครั้งแรกตั้งแต่ในเดือน ม.ค. แต่เพิ่งแสดงอิทธิฤทธิ์ที่น่ากังวลในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดย WHO ประกาศติดตามการแพร่ระบาดของ BA.5 อย่างใกล้ชิดในเดือน เม.ย.

ข้อมูลของ WHO เผยว่า ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เคสทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว โดยมีสาเหตุหลักมาจาก BA.5 ซึ่งมีคุณลักษณะพิเศษที่น่ากังวลในการ “หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน” ไม่ว่าจะเป็นภูมิที่มาจากการฉีดวัคซีนหรือการติดโควิด-19 ก็ตาม

มาเรีย ฟาน เคอร์โคฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคการรับมือโควิด-19 ของ WHO บอกว่า “ด้วยเหตุนี้ BA.5 จึงมีความได้เปรียบในการเติบโตเหนือโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ”

ฟาน เคอร์โคฟ ยังบอกอีกว่า ด้วยความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เหนือชั้นนี้ ทำให้หลาย ๆ คนที่เคยติดโควิด-19 มีโอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำมากขึ้น และเสริมว่า ขณะนี้ WHO กำลังศึกษารายงานการติดเชื้อซ้ำที่เกิดจาก BA.5

ด้าน เกรกอรี โปแลนด์ นักไวรัสวิทยาและนักวิจัยวัคซีนของ Mayo Clinic ในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐมินเนโซตา สหรัฐฯ เสริมว่าว่า “เรามีหลักฐานเพียงพอว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อโอมิครอน กำลังติดเชื้อ BA.5 ซ้ำ”

ขณะที่ เอริก โทปอล ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลที่ Scripps Research นิยามโควิด-19 BA.5 ว่าเป็น “ไวรัสเวอร์ชันที่แย่ที่สุดที่เราเคยเห็น”

โทปอลกล่าวว่า “เดิมโอมิครอนหลบหนีภูมิคุ้มกันได้มากอยู่แล้ แต่ความสามารถของ BA.5 ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ และด้วยเหตุนั้น ความสามารถในการแพร่เชื้อของมันจึงเหนือกว่าโอมิครอนเวอร์ชันก่อน ๆ”

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ BA.5 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อและวัคซีนครั้งก่อนได้อย่างง่ายดาย เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำ

ทั้งนี้ แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะเพิ่มขึ้นในบางประเทศ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะวัคซีนยังคงป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีหลักฐานว่า BA.5 มีอันตรายมากกว่าโอมิครอนสายพันธุ์อื่น ๆ

โทปอลกล่าวว่า “เมื่อพิจารณาความสามารถในการหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันของ BA.5 เขาคาดว่าจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นดังที่เราได้เห็นในยุโรป และที่อื่น ๆ ที่สายพันธุ์นี้ได้หยั่งรากลงไปแล้ว ... เรื่องหนึ่งที่ยังนับว่าดีคือ ดูเหมือน BA.5 จะไม่ได้เพิ่มอัตราการเข้า ICU และการเสียชีวิต แต่นี่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างแน่นอน”

WHO ยังกล่าวด้วยว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกนี้ที่กำลังดำเนินอยู่ เป็นปัญหาเรื้อรังยืดเยื้อจากความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีน และความปรารถนาของหลายประเทศที่ต้องการ “มูฟออน” จากโควิด-19 โดยการลดความเข้มข้นของมาตรการบางอย่าง จะเสี่ยงทำให้เกิดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่รับมือยากขึ้น

“เมื่อมีการแพร่ระบาดในชุมชนอยู่ในระดับสูง ไวรัสจะกลายพันธุ์ ... ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เรากำลังเล่นกับไฟ” โปแลนด์กล่าว

ก่อนหน้านี้ ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการคณะกรรมการรับมือเหตุฉุกเฉินของ WHO บอกว่า หลายประเทศขณะนี้ เปลี่ยนนโยบายการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทำให้อัตราการตรวจหาเชื้อลดลงอย่างมาก จึงยากต่อการติดตามผู้ป่วยและเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัส

“ความเปลี่ยนแปลงนี้ขัดขวางการประเมินการแพร่ระบาดและรูปแบบใหม่ของไวรัสในปัจจุบัน” WHO กล่าว

WHO กล่าวว่า วิถีการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 และลักษณะของสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่ยังคงเป็นสิ่งที่ “ไม่แน่นอนและคาดเดาไม่ได้” การไม่มีมาตรการเพื่อตรวจสอบหรือลดการแพร่เชื้อจะเพิ่มโอกาสในการเกิด “โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีความแข็งแกร่งขึ้น โดยอาจมีระดับความรุนแรง การแพร่เชื้อ และศักยภาพในการหลบหนีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น”

ติดต่อโฆษณา!