ศบค.เผยนักเรียนติดโควิดแล้วกว่า 30% หลังเปิดเรียนเทอมแรกปี 65
Highlight
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เผยเปิดเทอมแรกปี 65 พบนักเรียนติดเชื้อโควิด-19 กว่า 30% อาการส่วนใหญ่ มีไข้ รองลงมาคือไอ มีน้ำมูก ปวดตามตัว โดยส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากแหล่งอื่น ส่วนการติดเชื้อในโรงเรียนอยู่ที่ 5.66% และการติดเชื้อในครอบครัวมีเพียง 0.36% โดยศบค.เน้นย้ำมาตรการความปลอดภัยตามมาตรการ DMHT-RC เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ คัดกรองวัดไข้ ลดการแออัด และทำความสะอาด มาตรการเสริมดูแลตัวเอง และมาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า การติดเชื้อในสถานศึกษาข้อมูลจากกรมอนามัย จะเห็นว่าการติดเชื้อผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 18 ปี ในช่วงวันที่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. จะมีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่าในช่วงวันที่ 1 เม.ย.-31 ก.ค. และมีอัตราการติดเชื้อในสถานศึกษา คิดเป็น 10% และเมื่อมีการสัมภาษณ์การติดเชื้อในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา
จากแบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพนักเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ในสถานศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 49,242 คน โดย กรมอนามัย พบว่า นักเรียนติดโควิด ร้อยละ 30.56 ยังไม่เคยติดเชื้อ ร้อยละ 68.53
ทั้งนี้ เมื่อดูมาตราการ 6-7-7 พบว่าได้รับความร่วมมือในส่วนบุคคล และสถานที่เป็นอย่างดี แต่อาจมีข้อจำกัดบางเรื่อง เช่น สังเกตอาการ แต่อย่างการปฎิบัติตามเกณฑ์โควิดฟรีเซ็ตติ้งได้รับความร่วมมือถึง 90% โดยศบค.เน้นย้ำมาตรการความปลอดภัย 6-6-7 เพื่อลดความเสี่ยงโควิดในสถานศึกษา ดังนี้
- 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ คัดกรองวัดไข้ ลดการแออัด และทำความสะอาด
- 6 มาตรการเสริม ดูแลตนเอง ใช้ช้อนกลางส่วนตัว กินอาหารปรุงสุกใหม่ ลงทะเบียนเข้าออกโรงเรียน สำรวจตรวจสอบ และกักกันตัวเอง
- 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา ทั้งการประเมิน และรายงานผลผ่าน MOE COVID อย่างต่อเนื่อง ทำกิจกรรมแบบกลุ่มย่อย อาหารตามหลักสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการ อนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งอากาศ ความสะอาด น้ำ ขยะ เป็นต้น
ส่วนการประเมินการปิดโรงเรียนหลังมีการติดเชื้อในเด็กนักเรียนพบว่าเป็นการติดเชื้อจากอื่นๆมากที่สุด รองลงมาติดเชื้อจากบุคคลในบ้าน และมีแค่ 5.66% ที่ติดเชื้อในโรงเรียน ส่วนอาการป่วยที่พบมากที่สุดในนักเรียน คือ มีไข้ รองลงมาไอ น้ำมูก ปวดตามตัว และหากประเมินว่า เด็กนักเรียนเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในครอบครัวหรือไม่ พบว่า เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในครอบครัวแค่ 0.36% ทั้งนี้เตรียมรายงานที่ประชุมศบค. ชุดใหญ่ 19 ส.ค.นี้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงสถานการณ์ติดเชื้อผู้ป่วย โควิด-19 เมื่อ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ป่วยหนักใส่ท่อช่วยหายใจ 476 ราย อาการหนัก 905 ราย ซึ่งขณะนี้ศักยภาพของในการรองรับผู้ป่วย ยังอยู่ที่17.1% ส่วนวัคซีนเข็ม 1 ฉีดไป 57 ล้านคน เข็ม 2 ฉีกไปแล้ว 53 ล้านคนและเข็ม 3 ฉีดไป 31 ล้านคน จึงอยากให้มีการฉีดวัคซีนเพิ่มในส่วนของเข็มกระตุ้น
ทั้งนี้เมื่อดูรายละเอียดแนวโน้มปอดอักเสบ ในรอบ 14 วัน พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยใส่ท่อเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนจาก 393 ราย เป็น 476 ราย คน ทั้งนี้มาจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนผู้เสียชีวิตเมื่อดูผู้เสียชีวิตพบว่าอยู่ในกลุ่ม 608 ถึง 97% และหากวิเคราะห์ในจำนวนนี้ผู้เสียชีวิต เมื่อ 4 ส.ค. จะพบว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นถึง 22 ราย และเมื่อดูจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่มีการลงทะเบียนแบบ OPSI หรือการตรวจแบบATK มี รวม ในสัปดาห์ที่ 30 หรือระหว่าง 24-30 ก.ค. 65 มี 201,554 ราย หากเฉลี่ยเป็นการติดเชื้อรายวันจะมี 28,793 ราย
“คาดการณ์ว่า ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดในส่วนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ มีแนวโน้มน่าเป็นห่วงและเพิ่มจำนวนมากขึ้น ดังนั้นกลุ่ม 608 ควรรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ส่วนเสียชีวิต ก็แนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน”นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ส่วนศักยภาพการครองเตียงในสถานพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน ไม่ถึง 20% ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มสีเขียวเยอะมีแค่บางพื้นที่ที่อัตราของเตียงระดับ 3 แดงบางนิดหน่อย แต่เตียงผู้ป่วยยังสามารถขยายได้ ส่วนยาและเวชภัณฑ์มีเพียงพอ โดยยาโมลนูพิราเวียร์ มีเพียงพอ ย้ำการจ่ายยาควรทำโดยแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากห่วงคุณภาพ และอาจเกิดอันตราย