ไทยพบไวรัส BQ.1 แล้ว 1 ราย คาดแพร่เร็วแทนที่ BA.5 ในต้นปี 66 ด้านสหรัฐฯ เตือนพลเมืองเป็นเชื้อตัวใหม่ที่มีความอันตราย
Highlight
โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ BQ.1 และ BQ.1.1 ซึ่งเป็นรุ่นหลานของโอไมครอน BA.5 ที่แพร่ระบาดอยู่ในสหรัฐฯ เดินทางมาถึงไทยเรียบร้อยแล้วโดยการเปิดเผยของ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่าจากการสืบค้นฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโควิดโลก “GISAID” ยืนยันพบเชื้อตัวใหม่นี้ในประเทศไทยแล้ว 1 ราย เชื้อตัวนี้สามารถกลายพันธุ์หลบภูมิต้านทานได้ดี แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว และดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูปตัวสำคัญที่มีใช้อยู่ แต่เนื่องเป็นเชื้อกลุ่มโอมิครอนยังไม่พบการเจ็บป่วยรุนแรงในกลุ่มผู้รับวัคซีนครบโดส
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า จากการสืบค้นฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโควิดโลก “GISAID” พบโอมิครอน BQ.1 ในประเทศไทยแล้ว 1 ราย
ทั้งนี้ นพ.แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กล่าวถึงสาเหตุที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญกังวลใจเกี่ยวกับบรรดาโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ เช่น BQ.1 และ BQ.1.1 ซึ่งเป็นรุ่นหลานของโอไมครอน BA.5 เนื่องจาก 2 เหตุผลสำคัญ คือ
- โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BQ.1 และ BQ.1.1 มีการเพิ่มจำนวนเป็นเท่าตัว (doubling time) ภายในอาทิตย์เดียวติดต่อกันมาหลายสัปดาห์ ซึ่งถือว่าสูงมาก
- โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BQ.1 และ BQ.1.1 ดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูปตัวสำคัญที่มีใช้อยู่ เช่น เอวูเชลด์ (Evusheld) และเบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab) ที่ใช้รักษาโควิด-19
ปัจจุบัน โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ เช่น BQ.1 มีความสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามธรรมชาติหรือภูมิที่ได้จากการฉีดวัคซีนได้ดี โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและมีการติดเชื้อโอมิครอน BA.5 จะมีภูมิต้านทานการติดเชื้อโอมิครอน BQ.1 ได้ดีกว่าเล็กน้อย (เนื่องจาก BQ.1 กลายพันธุ์มาจาก BA.5) เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและมีการติดเชื้อโอมิครอน BA.2 ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและมีการติดเชื้อโอมิครอน BA.1 และผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแต่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาก่อนตามลำดับ
ดังนั้น การใช้วัคซีนเจเนอเรชัน 2 (adaptive vaccine) ที่ใช้ส่วนหนามกับ BA.5 เป็นตัวกระตุ้น น่าจะยังสามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ BQ.1 และ BQ.1.1 ในร่างกายของผู้ติดเชื้อได้ เนื่องจาก BQ.1 และ BQ.1.1 กลายพันธุ์มาจาก BA.5 จึงมีส่วนหนามคล้ายกัน
นอกจากนี้ โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ ยังดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูป (เจเนอเรชันแรก) เป็นส่วนใหญ่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาแอนติบอดี ค็อกเทล (เจเนอเรชันสอง) ที่เข้าจับหนามของอนุภาคไวรัสบริเวณที่ไม่มีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลง รักษาผู้ติดเชื้อโอมิครอน ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1/BA.2, BA.4/BA.5 จนมาถึงสายพันธุ์ย่อยล่าสุด BA.2.75.2 BQ.1 BQ.1.1 และ XBB เช่น แอนติบอดี ค็อกเทล “SA55+SA58” ซึ่งสามารถเข้าจับและทำลายโอมิครอนได้ทุกสายพันธุ์
สำหรับโอมิครอน BQ.1 มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามที่สำคัญคือ K444T L452R N460K และF486V ซึ่งทำให้หลบภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อตามธรรมชาติ หรือได้จากการฉีดวัคซีนได้ดี
ในสหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อ BQ.1 ที่ 5.7% ของโอมิครอนสายพันธุ์ต่างๆ ที่ระบาดอยู่ในสหรัฐฯ ทั้งหมด และหากคิดรวม BQ.1.1 (กลายพันธุ์เพิ่มจาก BQ.1 อีกหนึ่งตำแหน่ง คือ R346T) จะมีผู้ติดเชื้อ BQ.1 และ BQ.1.1 รวมกันถึง 11.4% ซึ่งคาดว่าสายพันธุ์ย่อยทั้งสองจะมาแทนที่ BA.4.6 ซึ่งระบาดในหมู่ประชาชนชาวอเมริกันคิดเป็น 12.2% แต่ขณะนี้ BA.4.6 มีปริมาณการเพิ่มจำนวนที่คงตัว ในขณะที่โอมิครอน BA.5 ในสหรัฐฯ ลดจำนวนลงเป็นลำดับ ขณะนี้เหลือเพียง 67.9%
ทั้งนี้ BQ.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดเหนือกว่า BA.5.2 เกือบ 15% ต่อวัน ในขณะที่ BQ.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดเหนือกว่า BA.2 ประมาณ 14% ต่อวัน บ่งชี้ว่า BQ.1 น่าจะเจริญเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วกว่า ส่งผลให้แพร่ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว และน่าจะเข้ามาแทนที่ BA.5 ได้ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปี 66
อย่างไรก็ดี แม้โอมิครอน BQ.1 และ BQ.1.1 จะมีการกลายพันธุ์หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดี และแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าโอมิครอน BQ.1 และ BQ.1.1 ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรง และมีจำนวนผู้เสียชีวิตแตกต่างไปจากโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
นายแพทย์แอนโธนี เฟาชี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติสหรัฐ (NIAID) และหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศเตือนชาวอเมริกันว่า ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ BQ.1 และ BQ.1.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.5 ถือเป็น 2 สายพันธุ์ของโควิด-19 ซึ่งมีความอันตราย
"ไวรัสทั้ง 2 สายพันธุ์สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว" นายแพทย์เฟาชีกล่าว
ไวรัสสายพันธุ์ BQ.1 และ BQ.1.1 ครองสัดส่วนมากกว่า 10% ของจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ขณะที่ก่อนหน้านี้เพียง 1 สัปดาห์ ไวรัสดังกล่าวยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนแต่อย่างใด
ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าไวรัส BQ.1 และ BQ.1.1 จะเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐแทนที่สายพันธุ์ BA.5 แต่หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ก็จะส่งผลให้สหรัฐฯ กลับมาเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่มีจำนวนลดลงก่อนหน้านี้