สธ. เผยข้อมูลผู้เสียชีวิตโควิด-19 รอบนี้ และกลุ่มที่ติดเชื้อแล้วอันตรายที่สุด ย้ำต้องได้รับวัคซีนโควิดกระตุ้นถึงเข็ม 4
Highlight
กรมการแพทย์ พบผู้เสียชีวิตโควิด-19 จำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม 608 และผู้มีโรคร่วมและไม่ฉีดวัคซีน ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่าโควิด-19 ประชากรไทยติดเชื้อไปแล้วร้อยละ 60 ถึง 70 คาดหลังปีใหม่ยอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น ย้ำประชาชนควรรับวัคซีนเข็มที่ 4
นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การที่พบผู้เสียชีวิตโควิด-19มีจำนวนมากขึ้นในตอนนี้ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีมากขึ้น จึงมีโอกาสที่กระจายเชื้อไปสู่กลุ่ม 608 กลุ่มโรคร่วมได้มากขึ้น
ข้อมูลผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 และผู้มีโรคร่วมและไม่ฉีดวัคซีน
- 70 % ในผู้เสียชีวิตเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนน้อยกว่า 3 เข็ม
- 50 % ไม่ฉีดวัคซีนเลย
- 20 % ฉีดแค่ 2 เข็ม
จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการผ่อนปรนวิถีชีวิตมากขึ้น ขณะที่ผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยก็รักษาแบบผู้ป่วยนอกหรือ OPD ไม่ต้องนอนรพ. สามารถรักษาที่บ้านได้ ดังนั้นจึงมีโอกาสความเสี่ยงจะไปติดคนอื่นได้
“ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนจึงเป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด ส่วนคนที่ได้รับวัคซีนแล้วซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตภูมิคุ้มกันที่จะไปต่อสู้กับเชื้อโรค”นพ.ธงชัยกล่าว
ผลวิจัยคาดคนไทยติดโควิดแล้ว 60-70% ชี้มีโอกาสติดเชื้อซ้ำสอง
ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “โควิด 19 ประชากรไทยติดเชื้อไปแล้วร้อยละ 60 ถึง 70” ระบุว่า จากการศึกษาของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬา 2 โครงการ โครงการแรกเป็นการศึกษาในเด็กที่อายุ 5-6 ขวบ ในปีที่ผ่านมาโดยมีการตรวจเลือด 2 ครั้งห่างกัน 1 ปี จำนวนประมาณ 190 คน พบว่าในช่วงปีที่แล้ว หรือยุคเดลตา เด็กอายุนี้ใน กทม.ติดเชื้อไปแล้วประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ (2564) แต่เมื่อมาถึงปีนี้ (2565)
มาถึงเดือนนี้ พบว่ามีการติดเชื้อไปแล้วเพิ่มสูงขึ้นอยู่ระหว่าง 60 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของเด็กทั้งหมด และในจำนวนนี้ 35% เป็นการติดเชื้อแบบไม่มีอาการ หรือไม่รู้ว่ามีการติดเชื้อ จากการซักประวัติ ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อ แต่การตรวจเลือดพบหลักฐานของการติดเชื้อ แสดงให้เห็นว่ามีเด็กจำนวนมากที่เกิดการติดเชื้อไปแล้ว เป็นชนิดที่ไม่มีอาการ และไม่รู้ว่ามีการติดเชื้อไปแล้ว
ในขณะเดียวกันการศึกษาร่วมกับทางจังหวัดชลบุรี ทำการตรวจเลือดตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 80 ปี ขณะนี้ตรวจไปแล้ว ประมาณ 700 คน พบว่ามีการติดเชื้อไปแล้วจากหลักฐานของการตรวจเลือด และประวัติการติดเชื้อ อยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 60-70 หลักฐานการตรวจเลือด ถ้าติดเชื้อมานานแล้ว โดยเฉพาะติดเชื้อเกินกว่าหนึ่งปี อาจให้ผลเป็นลบได้ การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปีนี้ ในช่วงของการระบาดด้วยสายพันธุ์ โอมิครอน
เมื่อตรวจหาภูมิต้านทาน แอนติบอดี ที่เกิดจากการติดเชื้อหรือจากวัคซีน จะพบว่าประชากรประมาณร้อยละ 95 มีภูมิต้านทานที่ตรวจพบได้ มากบ้างน้อยบ้าง โดยเฉพาะขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าระดับภูมิต้านทานสูงแค่ไหน จึงจะป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคได้ ประชากรส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดได้เคยสัมผัสหรือรู้จักไวรัสโควิด 19 จากการติดเชื้อ หรือวัคซีนมาแล้ว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความรุนแรงของโรคลดน้อยลง
หลังปีใหม่ผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มแน่นอน
สถานการณ์เตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 รวมทุกระดับขณะนี้มีการใช้ไปประมาณ 35% ยังมีเตียงว่างรองรับผู้ป่วยที่มีอาการได้อีกว่า 60 % แต่หากมีสถานการณ์ความรุนแรงที่มีผู้ป่วยจำเป็นต้องนอน รพ.เพิ่มก็เตรียมความพร้อมของห้องต่างๆ ที่สามารถขยายได้ทันที
สำหรับจำนวนผู้ป่วยโควิดที่เข้ามารักษาแบบOPD ภาพรวมในสถานพยาบาลทั่วประเทศมีมากขึ้นจากเดิมช่วงที่สถานการณ์เบาบางเฉลี่ยมีผู้ป่วยสัปดาห์ละ 2,000 คน ขณะนี้เพิ่มเป็นเท่าตัวเฉลี่ยสัปดาห์ละ 4,000 คน หรือประมาณวันละ 700-800 คน
“ขอความร่วมมือผู้ป่วยที่รักษาแบบ OPD ให้กักตัวเองอย่างน้อย 5 วัน แต่หากจำเป็นต้องออกไปภายนอกพยายามป้องกันไม่ให้ไปติดผู้อื่น โดยเฉพาะมาตรการป้องกันตนเองทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ”นพ.ธงชัยกล่าว
ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแน่นอนช่วงปีใหม่แต่จะขึ้นมากหรือน้อยอยู่กับการปฏิบัติตนของทุกคน แต่ไม่มีการปิดประเทศแน่นอน เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันขณะนี้ได้มอบนโยบายให้สถานพยาบาลในสังกัดเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีน พร้อมทั้งเปิดให้บริการวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย หากได้รับวัคซีนช่วงนี้ก็จะสามารถป้องกันได้ทั้งช่วงปีใหม่นี้และยังมีภูมิต่อเนื่องไปได้ถึงช่วงสงกรานต์ด้วย
โควิดขาขึ้นระบาด small wave
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น เป็นไปตามการคาดการณ์ช่วงขาขึ้นของการระบาดลักษณะ Small wave โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ มีการจัดกิจกรรมคนรวมกลุ่มกันจำนวนมาก แนะนำให้ประชาชนเร่งเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น
ข้อมูลการศึกษาวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นสายพันธุ์เดิมที่ใช้จริงในประเทศไทย (real world data) ในช่วงที่มีการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ International Journal of Infectious Diseases พบว่า
- วัคซีนจะลดความรุนแรงและการเสียชีวิตลงร้อยละ 89 ในผู้ที่รับวัคซีน 3 เข็ม
- และกลุ่มที่ได้ 4 เข็ม ไม่พบภาวะรุนแรงหรือการเสียชีวิตเลย ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยี่ห้อใดก็ตาม
สธ. แนะนำให้ประชาชนเข้ารับวัคซีน 4 เข็ม โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 เพื่อลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต
โควิด-19 รอบนี้ระบาดถึง มี.ค.ปีหน้า
ศ. นพ.ยง กล่าวว่า การระบาดของโควิด 19 เป็นไปตามฤดูกาล ในรอบของปี
- ระลอกนี้ การระบาดจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา
- จะขึ้นสูงสุดหลังปีใหม่หรือเดือนมกราคม
- เริ่มลดลงตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป
- จนเหลือน้อยมากในเดือนมีนาคม
- จะไปขึ้นการระบาดรอบใหม่ของปีในฤดูฝนหรือเดือน มิถุนายน ถึงเดือนกันยายน เป็นไปตามฤดูกาลของโรคทางเดินหายใจ
สำหรับวัคซีนในไทย ถึงแม้จะเป็นสายพันธุ์เดิม การกระตุ้นในระดับเซลล์ เพื่อลดความรุนแรงของโรค สามารถทำได้ดีมาก การลดความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับจำนวนเข็มที่ฉีด มากกว่าชนิดของวัคซีนที่ฉีด
“ขณะนี้อยู่ในขาขึ้นตามฤดูกาล จึงอยากให้ทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 4 เข็ม โดยเข้ารับการฉีดให้เร็วที่สุดไม่รอจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ หรือรอวัคซีนรุ่นใหม่” ศ. นพ.ยง กล่าว