ทำความรู้จัก “โนโรไวรัส” ตัวการท้องเสียที่ระบาดหนักในเด็กช่วงฤดูหนาว
พบโนโรไวรัสระบาดในโรงเรียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อ 14 ธ.ค. 67 ที่ผ่านมา นักเรียน - ครูป่วยกว่า 1,400 ราย
นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย เผยกรณีโรคอุจจาระร่วงระบาดใน 2 โรงเรียนที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พบผู้ป่วยรวม 1,436 ราย เป็นนักเรียน 1,418 ราย ครูและบุคลากร 18 ราย สาเหตุเกิดจากเชื้อโนโรไวรัสปนเปื้อนในน้ำและน้ำแข็งที่บริโภคระหว่างกิจกรรมกีฬาสี
โนโรไวรัสมักระบาดในฤดูหนาว โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก และพื้นที่ที่มีสุขอนามัยต่ำ สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านอาหาร น้ำดื่ม อากาศ หรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีภูมิต้านทานต่ำกว่าผู้ใหญ่
▪️โนโรไวรัสคืออะไร ?
ไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่เชื้อได้เพียงสัมผัสอนุภาคไวรัสเพียง 10-100 ตัวเท่านั้น! มีระยะฟักตัวเพียง 12-48 ชั่วโมง และมักแพร่ผ่านอาหาร น้ำดื่มที่ปนเปื้อน หรือการสัมผัสโดยตรงแบบ “มือเปื้อนเข้าปาก” (Faecal-Oral Route) ทำให้การระบาดรวดเร็วและง่ายดายในชุมชนหรือครอบครัว
▪️อาการที่ต้องระวัง
• คลื่นไส้ อาเจียน
• ท้องเสีย ปวดท้อง
• ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
• มีไข้ต่ำ
อาการส่วนใหญ่จะดีขึ้นใน 2-3 วัน แต่ในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุที่เสี่ยงขาดน้ำ อาการอาจรุนแรงจนต้องได้รับการรักษา เช่น การให้น้ำเกลือ
▪️การป้องกันโนโรไวรัส
แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาเฉพาะ แต่การป้องกันสามารถทำได้ด้วยวิธีเหล่านี้:
1. ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด เช่น ก่อนกินอาหาร หรือหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม
2. ล้างวัตถุดิบให้สะอาด โดยเฉพาะผัก ผลไม้ และอาหารทะเล
3. ปรุงอาหารให้สุก อย่างถูกสุขอนามัย หลีกเลี่ยงอาหารดิบ เช่น หอยนางรม
4. ดื่มน้ำสะอาด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ไม่ผ่านการกรอง
5. ใช้ช้อนกลาง ในการรับประทานอาหารร่วมกัน
▪️ทำไมต้องระวังในช่วงฤดูหนาว ?
อากาศเย็นช่วยให้ไวรัสอยู่ได้นานขึ้น และพฤติกรรมในช่วงฤดูหนาว เช่น การใช้พื้นที่ร่วมกันในร่มมากขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่กระจายไวรัส ดังนั้น การรักษาความสะอาดในชีวิตประจำวันจึงสำคัญ