18 มกราคม 2565
1,588

เมื่อ Gulf จับมือ Binance รุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตัลในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อ Gulf จับมือ Binance รุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตัลในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Highlight

นับเป็นข่าวใหญ่ที่ต้องจับตาในวงการสินทรัพย์ดิจิตัลโดยเฉพาะการซื้อขายคริปโตเคอเรนซี โดยเมื่อวานนี้ (17 ม.ค.) บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (Gulf) ธุรกิจรายใหญ่ด้านพลังงานและโทรคมนาคม เปิดเผยว่า บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน100% ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุ่ม Binance เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย กลายเป็นที่สนใจว่า เมื่อผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจคริปโทเคอเรนซีในประเทศแล้ว Bitkub และ กลุ่ม SCBx ที่เพิ่งจับมือร่วมลงทุนกันปลายปีก่อน จะปรับกลยุทธ์ธุรกิจรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้หรือไม่


Gulf เป็นธุรกิจพลังงานรายใหญ่ในประเทศที่กำลังเติบโต และในช่วงที่ผ่านมาได้ขยายธุรกิจออกไปทำธุรกิจอื่นๆที่มีศักยภาพในการเติบโตเช่นกัน โดยไม่ได้ขยายไปทำในธุรกิจเดิมมากนัก นักวิเคราะห์กล่าวว่าส่วนหนึ่งอาจต้องการหลีกเลี่ยงการผูกขาดนั่นเอง เมื่อสามารถครอบครองมาร์เก็ตแชร์ได้ราว 30-40% ก็มองหาการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ต่อไป

ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา Gulf เข้าลงทุนบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) โดยเข้าถือหุ้น 42.25%  ใช้เงินลงทุนไปจำนวน 4.86 หมื่นล้านบาท โดยที่ INTUCH ถือหุ้นใน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ประมาณ 40%  และ AIS ครอบครองส่วนแบ่งตลาดมือถือและโทรคมนาคมรายใหญ่ของประเทศ  มีฐานลูกค้าในมือราว 44 ล้านราย 

เป็นที่น่าสังเกตว่า Gulf จะสนใจลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูงและเป็นเจ้าตลาด หรือครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ เช่นเดียวกับดีลล่าสุดที่ประกาศเมื่อ 17 ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา คือการร่วมมือกับ Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายคริปโทเคอเรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน 

คริปโตเคอเรนซีก็เป็นอีกอุตสากรรมหนึ่งที่มีการเติบโตสูงมากในปีที่ผ่านมา โดยเมื่อ 10 มกราคม 2564  สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า  ชางเพ็ง เจา (Changpeng Zhao) ชายชาวจีนผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานที่แคนาดา เจ้าของและผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญเงินดิจิทัลรายใหญ่ที่สุดในโลก ที่ชื่อว่า Binance กำลังจะขึ้นแท่นกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเงินตราเข้ารหัสรายแรกของโลก ตามการจัดอันดับดัชนีมหาเศรษฐีของ Bloomberg Billionaires Index ซึ่งมีทรัพย์สินที่สามารถรวบรวมได้ราว 3.2 ล้านล้านบาท

อ้างอิงจากเว็ปไซต์ coingecko.com  รายงานสถิติการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัล พบว่าแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลของ  Binance ครองส่วนแบ่งการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลและคริปโทเคอเรนซีเป็นดับหนึ่งติดต่อกันหลายปี ชนิดทิ้งห่างคู่แข่ง ล่าสุด (18 ม.ค.) มีการซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 1.39 หมื่นดอลลาร์ต่อวัน

อย่างไรก็ตาม Binance เองยังไม่ได้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลในประเทศไทย รวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยก่อนหน้านี้เคยสนใจจะเปิดธุรกิจที่สิงคโปร์แต่ได้ชะลอแผนออกไป จึงเป็นไปได้ว่าต่อไปอาจใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ และก่อนหน้านี้ได้ขยายสาขาไปหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯ

สำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ครองส่วนแบ่งการซื้อขายสูงสุดคือ Bitkub Online ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Bitkub Capital Group Holdings มีมาร์เก็ตแชร์กว่า 90% และมีผู้ประกอบการรายอื่นอีกราว 4-5 ราย ทั้งนี้กลุ่มธนาคารไทยพานิชย์ หรือ SCBx ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้น Bitkub Online 51% เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ด้วยวงเงิน 1.78 หมื่นล้านบาท  ซึ่งเจ้าของและผู้ก่อตั้ง Bitkub คือนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กลายเป็นเศรษฐีคนใหม่หลังประกอบธุรกิจ โดยได้รับใบอนุญาตจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในเวลาราว 4 ปีเท่านั้น 

ดังนั้นเมื่อมีผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลกอย่าง Binance เข้ามาในตลาดสินทรัพย์ดิจิตัลของไทย โดยการหนุนของ Gulf กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ด้านพลังงานและโทรคมนาคม ต้องติดตามว่า กลุ่ม Bitkub และ SCBx จะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดและยังสามารถครองอันดับหนึ่งด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลไว้ได้หรือไม่ 

อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนทางเทคโนโลยีและสภาวะแวดล้อมต่างๆ ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก การตัดสินใจลงทุนทางธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าหลังจากเมตาเวริ์สที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นจะนำความเปลี่ยนแปลงอะไรมาสู่สังคมและโลกของการค้าการลงทุนในรูปแบบดิจิตัลแพลตฟอร์มใหม่ๆอีกบ้าง

นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และ CEO and Founder ของ Bitcast  กล่าวว่า สำหรับดีลล่าสุดระหว่าง Gulf กับ Binance ที่กำลังเกิดขึ้นในแง่ของนักลงทุนนั้นเรียกว่าน่าจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันทั้งในด้านราคา บริการ และผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ แต่หาก Binance ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจในประเทศไทยนั้นก็คงต้องทำธุรกิจอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตัลและคริปโทเคอเรนซีนั้นยังคงเติบโตได้อีกมากทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป

ติดต่อโฆษณา!