ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ เงินเฟ้อ ความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาพุ่งอีกรอบ!
Highlight
ราคาทองคำขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของโลก ซึ่งจริงๆแล้วสภาวะเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นแค่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลให้ราคาทองคำขึ้น - ลง ได้ทั้งวันและทุกวัน และในแต่ละวัน ราคาทองคำจะมีการปรับเปลี่ยนตัวเลขอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าราคาตลาดโลก ณ เวลานั้นปรับเปลี่ยนไปเท่าไหร่ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ คือดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ การเมืองระหว่างประเทศ ราคาน้ำมัน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงนั้นๆ ทองคำได้ชื่อว่าเป็นสินทรัพย์หลบภัยในช่วงที่ตลาดผันผวน
โดยปกติแล้วราคาทองคำจะถูกกดดันจากการคุมเข้มด้านนโยบายการเงินของ Fed ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเร่งลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการปรับลดขนาดงบดุลของ แต่ราคาทองคำก็ยังมีปัจจัยบวกสนับสนุน หลายประการ มาติดตามกัน
1. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ย จากค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนำเข้าและส่งออกทองคำ รวมไปถึงค่าขนส่ง ดอกเบี้ยธนาคาร ค่าความเสี่ยง หรือค่าประกันภัยต่างๆ เนื่องจากนักลงทุนมีความต้องการซื้อทองคำเป็นจำนวนมาก และปริมาณทองคำที่มีอยู่ภายในประเทศไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ จึงทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่างๆตามมา
และหากนโยบายดอกเบี้ยถูกปรับขึ้น จะแสดงให้เห็นถึงสภาวะเศรฐกิจที่เริ่มดี ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำก็จะปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากนโยบายดอกเบี้ยถูกลดลง จะแสดงให้เห็นถึงสภาะเศรษฐกิจที่เริ่มไม่ดี ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลง ความเชื่อมั่นที่ลดลง และราคาทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น
2. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมัน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำเป็นอย่างมาก ซึ่งราคาน้ำมันเป็นตัวที่ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ โดยสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นกับราคาทองคำนั้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และราคาน้ำมันมีเกี่ยวข้องแบบเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับราคาทองคำด้วยเช่นกัน
หากราคาน้ำมันถูกปรับเพิ่มขึ้น สภาวะเงินเฟ้อก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำก็จะถูกปรับขึ้นสูง ในทางกลับกัน หากราคาน้ำมันถูกปรับตัวลดลง สภาวะเงินเฟ้อก็จะลดลง และราคาทองคำก็จะปรับตัวลงตามกัน
3. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์
เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินที่มีการใช้กันมาก อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์ยังเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการซื้อ-ขาย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีความผันผวนกับราคาทองคำ
การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง จะส่งผลดีกับราคาทองที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่สามารถเก็บมูลค่า และส่งผลให้กระแสเงินของแต่ละประเทศไหลเข้าสู่ทองคำ และทำให้ราคาทองคำมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากค่าเงินดอลลาร์แข็งตัวขึ้น จะส่งผลราคาทองคำปรับตัวลง และนักลงทุนทองคำจะหันมาลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์แทน
4. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับ Demand และ Supply หรือความต้องการ
Demand หรือ อุปสงค์ คือความต้องการในทองคำ ที่มาจาก 3 กลุ่มใหญ่หลักๆ ได้แก่ ภาคเครื่องประดับ ภาคการลงทุน และภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ รวมไปถึงการที่ภาครัฐของแต่ละประเทศ มีการนำทุนสำรองไปซื้อทองคำมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดจากการเกาะตัวอยู่ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
หากมีความต้องการที่จะซื้อทองคำสูง จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับสูงขึ้นอีกด้วย และในทางกลับกัน หากมีความต้องการซื้อทองคำต่ำ ราคาทองคำก็จะถูกปรับลงด้วยเช่นกัน
Supply หรือ อุปทาน คือ ความต้องการขายทองคำ ที่มาจาก 3 กลุ่มใหญ่หลักๆ ได้แก่ ผลผลิตทองคำที่มาจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางของแต่ละประเทศ และสุดท้ายปริมาณทองคำเก่าๆที่มีการหมุนเวียนอยู่ในระบบ
Demand และ Supply หรือความต้องการภายในประเทศไทย จะพิจารณาจากอัตรา Gold Spot และค่าเงินบาทของไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้แล้วยังต้องคำนึงถึงความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อการที่จะตัดสินใจประกาศราคาทองคำภายในประเทศ ของแต่ละครั้ง
ปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อการขึ้น - ลงของราคาทองคำนั้นไม่มีเพียงเท่านี้ แต่ในปัจจุบัน เนื่องด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด -19 ที่ระบาดไปทั่วโลกตอนนี้ ก็เพิ่มเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในระยะสั้น
วรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด
กล่าวว่า หากดูแนวโน้มหรือทิศทางราคาทองคำในปีเสือทอง ต้องจับตาดูมาตรการจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นสำคัญ เนื่องจากจะมีการเร่งถอนนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในแง่ของการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดขนาดงบดุล ซึ่งจะส่งผลกดดันราคาทองคำ แต่ที่ผ่านมาราคาทองคำก็ได้รับรู้ปัจจัยในเชิงลบมาพอสมควรแล้ว
อย่างไรก็ตาม หาก Fed ยังยืนยันว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ อาจทำให้ตลาดตีความว่า Fed อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ได้ถึง 4-5 ครั้ง (ไตรมาสละ 1 ครั้ง) ก็จะกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงได้
นั้นอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญหากต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนทองคำ นักลงทุนต้องจับจังหวะราคาทองคำได้อย่างแม่นยำ
ทองคำยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าปัจจุบันจะมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นและเป็นที่นิยมของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลายก็ยังมีความสำคัญ แต่ไม่ว่าจะมีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์รูปแบบใด พอร์ตการลงทุนที่ดียังต้องมีการลงทุนในทองคำ 5 - 15% ของพอร์ตลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ในสถานการณ์ล่าสุด ราคาทองคำปรับสูงขึ้นจาก 2-3 ปัจจัยหลักๆ คือภาวะความตึงเครียดของสถานการณ์รัสเซียกับยูเครน ข่าวการเกิดสงครามส่งผลกระทบเศรษฐกิจและค่าเงินทางอ้อม ยังไม่รวมถึงอาจจะกดดันให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นด้วย จึงส่งผลให้ราคาองคำสูงขึ้น ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดสงครามราคาทองคำจะขยับขึ้น หรือเมื่อไหร่ที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หรือหมายถึงเศรษฐกิจจะอ่อนตัว ราคาทองคำก็จะปรับขึ้นในทางตรงกันข้ามเสมอ
สำหรับราคาทองคำในระยะสั้น เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับขึ้น 31.95ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทดสอบระดับสุดบริเวณ 1,821.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรฐั (เฟด)จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ก่อนที่ราคาทองคาจะทะยานขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจาก 3 ประเด็น ได้แก่
1. ความวิตกว่ารัสเซียจะบุกยูเครนหลังรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่ารัสเซียพร้อมโจมตียูเครนได้ทุกเมื่อ และเรียกร้องให้ชาวอเมริกันรีบเดินทางออกจากยูเครนภายใน 48 ชั่วโมง นอกจากนี้สหรัฐสั่งการให้ เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ในสถานทูตสหรัฐกรุงเคียฟออกจากยูเครนทันที ปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในวงกว้าง
ส่วนหนึ่งเกิดแรงซื้อเข้าตลาดทองคำโดยตรง รวมถึงแรงซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งฉุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีให้ปรับลดลง สู่ระดับ 1.9112% ในวันศุกร์ หนุนให้ทองคำสูงขึ้น
2. การเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐจากมหาลัยมิชิแกนที่ปรับลดลงเกินคาดสู่ระดับ 61.7 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต้ำสุดนับตั้งแต่ปี 2011
และ (3.) แรงซื้อตาม(Follow Buy) และซื้อตัดขาดทุนสถานะขาย (Short squeeze) หลังจากราคาทะยานขึ้นทะลุระดับสูงสุดในเดือนก่อนหน้าพร้อม Breakout กรอบบนของ Triangle ในระยะกลางซึ่งตรงกับ บริเวณ 1,841-1,853 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปัจจัยที่กล่าวมาส่งผลใหร้าคาทองคำทะยานขึ้นกว่า 40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากระดับต่ำสุดในระหว่างวันสู่ระดับสูงสุดบริเวณ 1,865.19 ดอลลาร์
ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม +3.48 ตัน สำหรับวันนี้ (14 ก.พ.) ติดตามถ้อยแถลงของนายเจมส์ บลูลาร์ด ประธานเฟดเซนต์หลุยส์
กรอบราคาทองคำในระยะสั้น
YLG ให้กรอบราคาทองคำในระยะสั้น โดยมีแนวรับที่ 1,844 เหรียญต่อออนซ์ และแนวต้าน 1,894 เหรียญต่อออนซ์
สำหรับราคาทองคำในประเทศ ในปี 65 นี้ YLG คาดว่าจะเคลื่อนไหวขึ้นลงในกรอบ 3,000 บาทจากปีที่แล้ว หรือคาดว่าปรับขึ้นไปสูงสุดประมาณ 29,800 บาท
ราคาทองคำในวันนี้ (14 ก.พ.) เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 28,600 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท ส่วนราคาทองคำโลกอยู่ที่ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การลงทุนในทองคำในปัจจุบันสามารถลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% ทองคำในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% หรือทองรูปพรรณที่คุ้นเคย ซื้อแล้วเก็บก็ได้ ราคาทองคำขึ้นแล้วไปขายคืนที่ร้านทองทั่วไป หรือจะลงทุนทองคำแบบออนไลน์ก็ได้โดยไม่ต้องเก็บทองไว้กับตัว ก็สะดวกและปลอดภัย โดนร้านทองขนาดใหญ่มีบริการเกือบทุกเจ้า
สำหรับคนที่ต้องการออมทอง แบบทยอยซื้อไปทุกเดือน ด้วยเงินจำนวนน้อยก็มีหลายบริษัทเปิดบริการลักษณะนี้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้การลงทุนซื้อขายทองคำล่วงหน้า แบบซื้อมาขายไป ทำกำไรระยะสั้นซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ก็สามารถลงทุนผ่านตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทยไทย หรือ TFEX โดยสามารถซื้อผ่านโบรกเกอร์ทองคำที่เป็นสมาชิกของตลาด TFEX
ซึ่งปัจจุบันมีทางเลือกลงทุนทองคำในรูปแบบที่น่าสนใจและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น Gold-D ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% ซึ่งเป็นมาตรฐานในต่างประเทศ
เมื่อศึกษาราคาทองคำในอดีตจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่าราคาทองมีการปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจจะะท้อนภาพเศรษฐกิจและค่าเงินที่อ่อนแอ และทองคำเป็นของหายากขึ้นในปัจจุบัน ส่วนในอนาคต เราต้องติดตามที่พูดกันว่า ทองคำดิจิทัลจะเป็นอีกสินทรัพย์ทางเลือกหนึ่งด้วยหรือไม่ เพราะราคาทองคำดิจิตัล ยังมีความผันผวนรุนแรงมากและขนาดตลาดยังเล็กมากในปัจจุบัน
ทองคำดิจิทัลที่ว่านี้คือ Bitcoin นั่นเอง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการองการลงทุนในโลกปัจจุบัน ที่มีสินทรัพย์ประเภทใหม่ๆ เกิดขึ้นมาให้กระจายความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ดังนั้น จะลงทุนแบบไหน อย่างไร อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจในการลงทุน และรูปแบบที่นักลงทุนชอบและถนัด
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
อ้างอิง : Aurora, YLG Bullion Futures, TFEX