21 กุมภาพันธ์ 2565
2,978

เงินบาทแข็งค่าในรอบ 7 เดือน เงินทุนไหลเข้าทะลัก! ถือครองพันธบัตรสูงสุดในรอบ 3 ปี หุ้นไฟฟ้าได้ประโยชน์

เงินบาทแข็งค่าในรอบ 7 เดือน เงินทุนไหลเข้าทะลัก! ถือครองพันธบัตรสูงสุดในรอบ 3 ปี หุ้นไฟฟ้าได้ประโยชน์
Highlight

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดี บริษัทจดทะเบียนมีกำไรดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เป็นปัจจัยดึงดูดเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นต่อเนื่องจากปลายปีก่อน โเยมีแรงซื้อสุทธิหุ้นไทยสะสม 64,580 ล้านบาท พร้อมๆ กับเพิ่มการถือครองพันธบัตรไทยอีก 127,778 ล้านบาท ทำให้ยอดถือครองพันธบัตรไทยโดยนักลงทุนต่างชาติขยับสูงขึ้นไปแตะ 1.15 ล้านล้านบาท โดยต่างชาติที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี บาทแข็งค่า หุ้นใหญ่มีหนี้ต่างประเทศสูงได้ประโยชน์ รวมทั้งธุรกิจนำเข้าสินค้าต่างๆ


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่านับจากต้นปี 2565 เป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยใน ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง ต่างชาติพลิกจากที่ขายสุทธิหุ้นไทยสะสม 48,577 ล้านบาทในปี 2564 มาเป็นซื้อสุทธิหุ้นไทยสะสม 64,580 ล้านบาท 

พร้อมๆ กับเพิ่มการถือครองพันธบัตรไทยอีก 127,778 ล้านบาท ทำให้ยอดถือครองพันธบัตรไทยโดยนักลงทุนต่างชาติขยับสูงขึ้นไปแตะ 1.15 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7.67% ของยอดคงค้างพันธบัตรไทยโดยรวม นับเป็นสถิติสัดส่วนการถือครองพันธบัตรไทยโดยต่างชาติที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี

กระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทยดังกล่าว กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในปีนี้ (หลังจากที่อ่อนค่าลงไปถึง 10.4% ในปี 2564) ท่ามกลางมุมมองที่ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าปีก่อน 

ทั้งนี้ในระหว่างวันที่ 17 ก.พ. 2565 เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนที่ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ หรือแข็งค่าขึ้นมาแล้วประมาณ 3.8% เมื่อเทียบกับระดับสิ้นปี 2564 และกลายเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในเอเชีย 

นอกจากนี้ แรงหนุนเงินบาทในระยะนี้ยังน่าจะมาจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ที่เชื่อมโยงกับการส่งออกทองคำในช่วงที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ในการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้น นอกจากจะคาดหวังผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทางการเงินที่เข้ามาลงทุนแล้ว คงคาดหวังอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (ในกรณีที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น) ด้วยเช่นกัน

ซึ่งทำให้คงต้องรอติดตามว่า สภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทย และเงื่อนไขอื่นๆ ที่ทำให้ต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณการลดงบดุลในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

20210221-a-01.jpg

ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้ (21-25 ก.พ.) ที่ 31.80-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/64 และข้อมูลการส่งออกเดือนม.ค.ของไทย ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ. ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย รายได้/การใช้จ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Indices เดือนม.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/64 (prelim.) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามสถานการณ์ในยูเครน การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ของธนาคารกลางจีน รวมถึงข้อมูลเบื้องต้นของดัชนี PMI เดือนก.พ. ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(21ก.พ.) ที่ระดับ32.16บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า  ที่ระดับ 32.18 บาทต่อดอลลาร์  มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.40 บาทต่อดอลลาร์และกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.20 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมาก แม้ตลาดจะปิดรับความเสี่ยง เนื่องจากเงินบาทยังคงได้แรงหนุนด้านแข็งค่าจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ  อย่างไรก็ดี ต้องติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะเริ่มขายทำกำไรหุ้นไทยมากขึ้นหรือไม่ หลังจากในช่วงที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติได้ไหลเข้าสินทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ ในระยะสั้น เรามองว่า แนวรับสำคัญยังคงเป็นโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าผู้นำเข้าก็ต่างรอซื้อเงินดอลลาร์และนักลงทุนต่างชาติบางส่วนก็อยากขายทำกำไร ณ โซนดังกล่าว ส่วนแนวต้านที่สำคัญนั้น เราคาดว่าผู้ส่งออกจะรอขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงใกล้ช่วง 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้โซนดังกล่าวจะเป็นแนวต้านสำคัญในระยะนี้

ส่วนเงินดอลลาร์ยังคงมีแรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนโดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและพร้อมปิดรับความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว หากรัสเซียเปิดฉากโจมตียูเครน ซึ่งจะหนุนให้สินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับราคาทองคำที่อาจปรับตัวขึ้นต่อได้

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินผันผวนหนักและปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลว่ารัสเซียจะบุกโจมตียูเครน
 
สำหรับสัปดาห์นี้ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน/นาโต้ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิดโดยทิศทางของความขัดแย้งดังกล่าวอาจส่งผลต่อแนวโน้มตลาดการเงินในระยะสั้นได้

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าในหุ้นกลุ่มเกษตรและอาหาร โดยอิงสมมติฐานค่าเงินบาท 35 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ พบว่าถ้าเงินบาทแข็งค่าทุกๆ 1 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ ส่งผลให้กำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มนี้ปรับลดลง 4.4% และทำให้กำไรสุทธิหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 5.8%
 
ดังนั้น หากนักลงทุนมีหุ้นทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในพอร์ตอาจจะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงจากปัจจัยการแข็งค่าของเงินบาท ถ้าประเมินแล้วจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานและต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น อาจจะพิจารณาการปรับพอร์ตลงทุนเพื่อความเหมาะสมกับสถานการณ์  

โดยทั่วไปนั้นเงินบาทแข็งค่าจะได้ประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่โดยเฉพาะบริษัทที่มีการกู้ยืมเงินเงินต่างประเทศสูง เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะทำให้ภาระหนี้ลดลง จากเงินบาทแข็งค่า  หุ้นที่นำเข้าเครื่องจักร และสินค้าเข้ามาในประเทศ

20210221-a-02.jpg

หุ้นที่ได้ประโยชน์ชัดเจน เช่น กัลฟ์ เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ (GULF) และ หุ้น GPSC  

ส่วนหุ้นที่เสียประโยชน์ คือกลุ่มส่งออก 

เพราะการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ทำให้ปริมาณการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น สุดท้ายแล้วก็ทำให้หุ้นส่งออกเติบโตได้ เพียงแต่ในระยะสั้นการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า มีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้

บทความจาก SET Invest Now ของตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า เงินบาทไทยมีอัตราการแข็งค่ามากที่สุดและเร็วที่สุดในเอเชีย และแข็งค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ สกุลหนึ่งของโลก ในช่วงปลายปีก่อน เรื่อยมาจนถึง 1-2 เดือนแรกของปี 2565 

สถานการณ์ดังกล่าว มีการตั้งคำถามว่า หากเงินบาทแข็งค่าไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานาน เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร และคนไทยได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน จึงได้รวบรวมปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินอ่อนค่าและแข็งค่า ไว้ดังนี้ 
 
ผลกระทบกับราคาสินค้าที่ต้องจ่าย

เป็นเรื่องธรรมดาและเป็นที่รู้จักกันดีว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้านำเข้า หากค่าเงินในประเทศผู้นำเข้าสินค้า “แข็งค่า” ราคาสินค้านำเข้าจะปรับลดลง หมายความว่า หากซื้อสินค้าดังกล่าวก็จะได้ราคา “ลดลง” ตรงกันข้ามหากค่าเงินในประเทศผู้นำเข้าสินค้า “อ่อนค่า” ราคาสินค้านำเข้าที่ผู้ซื้อต้องจ่ายจะ “เพิ่มขึ้น”
 
กระทบกับอัตราเงินเฟ้อ

ประเทศที่อยู่ในภาวะค่าเงิน “อ่อนค่า” และเป็นประเทศนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจำนวนมาก อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อาจทำให้ธนาคารกลางตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรับกับภาวะอัตราเงินเฟ้อและป้องกันไม่ให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไปมากกว่านี้
 
ตรงกันข้ามหากค่าเงิน “แข็งค่า” สามารถกดดันอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเงิน หากเกิดสถานการณ์ดังกล่าวเครื่องมือที่ช่วยลดแรงกดดันคือ การใช้นโยบายการเงินด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวและให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มสูงขึ้น
 
กระทบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้

ค่าเงิน “แข็งค่า” อย่างรวดเร็วและเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของสถาบันการเงินลดลงตาม สถาบันการเงินจึงสามารถลดดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจกู้ยืมเพื่อนำไปลงทุนสูงขึ้นจากต้นทุนกู้ยืมลดต่ำลง ขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำลงจะช่วยลดแรงจูงใจ ผู้ออมเงินที่นำมาฝากเอาไว้ อาจนำไปลงทุนในช่องทางอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ หุ้น หรือนำไปใช้แทน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้คึกคักมากขึ้น
 
กระทบกับพอร์ตลงทุน

บริษัทที่มีฐานรายได้ในรูปสกุลเงินดอลล่าร์และยังมีบริษัทย่อยในต่างประเทศอีก เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าต่อไปอีก อาจมีผลต่อยอดขายและกำไรที่ได้รับเข้ามา เพราะเมื่อแลกเป็นเงินบาทจะได้รับน้อยลง เช่น ต้นปี 1 ดอลล่าร์ แลกได้ 35 บาท วันนี้แลกแล้วเหลือ 33 บาท
 
กระทบกับผู้ประกอบการ

หากเงิน “แข็งค่า” ขึ้น ธุรกิจที่ต้องนําเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตจากต่างประเทศจะซื้อวัตถุดิบหรือเครื่องจักรได้ถูกลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดต่ำลง ตรงกันข้ามผู้ส่งออกจะได้รับผลเสียจากการได้รับรายได้และผลกำไรจากการส่งออกลดลง และเมื่อมีรายได้ลดลงอาจนำไปสู่การตัดสินใจลดกำลังการผลิต และอาจจะส่งผลกระทบต่อการลดการจ้างงานลง

ติดต่อโฆษณา!