ให้สมบัติลูกเป็นการศึกษา ต้องลงทุนเท่าไร
Highlight
เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ต้องการหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดโดยเฉพาะการศึกษาให้กับลูกของเรา ตามกำลังของแต่ละบ้าน ต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของเด็กเป็นรายจ่ายก้อนโตของครอบครัวในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับประเภทของโรงเรียน และสภาพแวดล้อม และการแข่งขันในเชิงคุณภาพ หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายการเรียนพิเศษในยุคนี้ รวมแล้วสูงกว่าค่าเทอมหลักเสียอีก ดังนั้นการวางแผนค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กจึงสำคัญมากสำหรับครอบครัวยุคใหม่
เมื่อครอบครัวต้องการคุณภาพการศึกษาที่ดีที่สุดให้กับเด็กๆ ตามกำลังที่มี แน่นอนว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมด้านต่างๆ ทั้งเวลาและกำลังทรัพย์ในการเลี้ยงดูเด็กให้มีคุณภาพก็สูงตามไปด้วย
นี่อาจจะเป็นหนึ่งในหลายๆ สาเหตุที่ทำให้หนุ่มสาวสมัยนี้เลือกที่จะอยู่เป็นโสด หรือมีลูกน้อยนั่นเอง และเรากำลังก้าวไปสู่ยุคสังคมสูงอายุ ที่อัตราการตายจะใกล้เคียงการเกิดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ย้อนไปในอดีต หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพบ้านเมืองทั่วโลกได้รับความเสียหายจากสงครามไม่มากก็น้อย ในหลายประเทศต่างส่งเสริมให้ประชากรมีลูกหลายๆ คน เพื่อเป็นกำลังและแรงงาน ในการสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
และสิ่งนั้นคือค่านิยมของคนที่เกิดในช่วงพ.ศ. 2489 – 2507 หรือที่เรียกกันว่า Baby Boomer นั่นเอง ปัจจุบันบางคนในกลุ่มดังกล่าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ซึ่งคิดเป็น 16.7% ของประชากรในประเทศไทย
จากการที่ Baby Boomer มักนิยมมีลูกหลายคน ทำให้ในบางครั้งการวางแผนทางการเงินเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากแต่ Generation หลัง ๆ เริ่มมีลูกจำนวนน้อยลง แต่เน้นที่การเลี้ยงดูที่ดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ใช้เวลาในการเลี้ยงดูมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญของการศึกษามากขึ้น “เพราะการศึกษาเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด”
คือสมบัติที่แท้จริงที่พ่อแม่มอบให้ ทุกสิ่งล้วนมีราคาแล้วการศึกษาของลูกตั้งแต่อนุบาลถึงจบปริญญาตรี ต้องใช้เงินเท่าไร?
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำการสำรวจถึงความอยากมีลูกของคนไทยเมื่อปี 2560 พบว่า คนไทยอยากมีลูก 1.69 คน ซึ่งลดลงประมาณ 9% จากที่เคยสำรวจเมื่อปี 2544 เมื่อเริ่มมีลูกน้อยลง หลายครอบครัวเริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาบุตรมากขึ้น
การศึกษาจึงเป็นเหมือนสมบัติที่พ่อแม่ให้ไว้กับลูก ลูกๆ อาจไม่รู้สึกว่าได้รับสมบัติในช่วงแรก แต่การศึกษาทั้งหมดจะหล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งเก่งทั้งทางอารมณ์และทางเหตุผลเมื่อเติบโตขึ้น แต่การศึกษานั้นก็มีราคาของมัน
สิ่งที่ต้องเลือก รูปแบบที่ต้องการ
ราคาของการศึกษาสำหรับเด็กแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางครอบครัวที่ลูกจบระดับปริญญาไปแล้วยังไม่เคยรู้เลยว่าการศึกษาที่ให้นั้นราคาเท่าไหร่ เนื่องจากไม่เคยวางแผนการเงินสำหรับการศึกษาบุตรอย่างจริงจัง สิ่งที่ทำคือ “ดีที่สุด เท่าที่ไหว”
หากแต่ถ้ามีการวางแผนทางการเงินล่วงหน้าอาจทำให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีกว่า การวางแผนการเงินสำหรับบุตรไม่ใช่เรื่องยาก โดยการวางแผนการศึกษาบุตรตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงปริญญาตรีสามารถทำด้วยตัวเองได้
โดยขั้นตอนแรกคือการหาจำนวนเงินที่ต้องใช้สำหรับการศึกษา ซึ่งแตกต่างกันเป็นอย่างมากตามโรงเรียนที่เราต้องการให้ลูกเข้าเรียน แผนการเรียนการสอนที่ปัจจุบันมีให้เลือกทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือมากกว่า 2 ภาษา เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นสมมติเราแบ่งการศึกษาของลูกออกเป็น 3 รูปแบบคือ
- แบบมาตรฐาน : ศึกษาในโรงเรียนรัฐหรือเอกชนเป็นหลัก เน้นการสอนวิชาการ มีการสอนภาษาต่างประเทศบ้าง แต่อาจไม่เพียงพอต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติม ต่อมาเข้าเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยรัฐภาคภาษาไทย
- แบบผสม : เรียนในโรงเรียนเอกชนตั้งแต่อนุบาล ประถม และมัธยม เน้นการศึกษาสอนภาษาต่างประเทศ ไม่ถึงขั้นที่สามารถใช้ได้เหมือนเจ้าของภาษา แต่ก็สามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดี เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยหลักสูตรนานาชาติในประเทศ
- แบบนานาชาติ : อยากให้ลูกเป็นฝรั่ง เน้นการเรียนการสอนที่เป็นแบบนานาชาติตั้งแต่อนุบาล เพื่อปูพื้นด้านภาษาและความคิดตั้งแต่เด็ก เป้าหมายคือการเตรียมพร้อมให้ความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สิ่งที่ต้องแลกมาคือการเดินทางและค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงมาก
ในความเป็นจริงแล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับลูกนั้นมีหลายส่วน เช่น ค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ เงินไปโรงเรียน ค่ากินอยู่ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ ค่าเรียนพิเศษ ค่าแรกเข้าโรงเรียน เป็นต้น
ซึ่งค่าใช้จ่ายทางการศึกษาก้อนที่ใหญ่ที่สุดคือค่าเทอมและจะเริ่มจ่ายตั้งแต่ลูกอายุ 3-4 ขวบหรือในช่วงที่เข้าโรงเรียนอนุบาล ซึ่งค่าเทอมนั้นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อศึกษาในระดับชั้นที่สูงขึ้น โดยค่าใช้จ่ายที่หนักที่สุดในส่วนนี้คือช่วงการเรียนในมหาวิทยาลัย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองมาคำนวณกันสักหน่อยว่าคุณพ่อคุณแม่จะต้องเตรียมเงินประมาณเท่าไรสำหรับอนาคตทางการศึกษาของลูกตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับปริญญาตรี โดยประเมินจากการวางแผนการศึกษาในระดับกลางของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและมหาวิทยาลัยเอกชน
อนุบาล | ค่าใช้จ่ายประมาณ | 20,000 – 80,000 | บาท/เทอม |
ประถม | ค่าใช้จ่ายประมาณ | 20,000 – 150,000 | บาท/เทอม |
มัธยม | ค่าใช้จ่ายประมาณ | 50,000 – 300,000 | บาท/เทอม |
มหาลัย | ค่าใช้จ่ายประมาณ | 70,000 – 500,000 | บาท/เทอม |
โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประเมินค่าใช้จ่ายทางการศึกษาสำหรับเด็กวัยเรียน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับปริญญาตรีไว้ว่า ..
หากเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1.6 ล้านบาท
หากเลือกศึกษาในสถาบันการศึกษาของเอกชนค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบจะอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท
และหากเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติ จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงถึง 20.1 ล้านบาทตลอดระยะเวลาเล่าเรียน
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อาจต้องเตรียมตัวในการวางแผนการเรียนของคุณลูกไว้แต่เนิ่น ๆ ว่าลูกควรจะเรียนที่ไหน โดยประเมินรายได้และค่าใช้จ่ายปัจจุบันของครอบครัว การเดินทางจากบ้านไปยังสถานศึกษา ระยะเวลาของการศึกษาเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายในแต่ละปีของลูกว่ารวมเป็นเงินเท่าไร
และหากเตรียมเงินไว้เพียงพอแล้วจะต้องพยายามลดรายจ่ายส่วนใดและหารายได้เสริมในช่องทางใดเพิ่มเติม เพื่อให้การใช้จ่ายในครอบครัวมีความคล่องตัวอยู่เสมอ
จากการสำรวจ*ค่าเทอม (ต่อปี) รูปด้านล่างเป็นค่าเทอมเฉลี่ยของระดับชั้นต่าง ๆ ของหลายโรงเรียน เพื่อให้เห็นภาพจำนวนเงินที่ต้องใช้ในอนาคต ซึ่งอาจแตกต่างกันเมื่อเข้าเรียนจริง
*ข้อมูลค่าเทอมปัจจุบัน(ต่อปี) มาจากการสำรวจของบริษัท ฟินบรอดแคสติ้ง จำกัด จำนวน 43 สถาบันการศึกษา ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2562
“ราคาของการศึกษา”
ในความเป็นจริงแล้วค่าใช้จ่ายทางการศึกษานั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต หรือมีแต่เพิ่มกับเพิ่ม ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นการลดค่าเทอมสักเท่าไร ดังนั้น “เงินเฟ้อทางการศึกษา” หรืออัตราการขึ้นค่าเทอมในแต่ละปีจึงเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่าเทอมเพิ่มขึ้นทุกปี
โดยปกติในประเทศไทยมีเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในระยะยาวประมาณ 3% ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาก๋วยเตี๋ยวเพิ่มจากชามละ 15 บาทมาเป็น 40 บาทในปัจจุบัน
และเงินเฟ้อก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าเทอมแพงขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นสูงหรือต่ำกว่าเงินเฟ้อก็อาจเป็นได้ ซึ่งในตัวอย่างด้านล่างสมมติให้เงินเฟ้อทางการศึกษาเพิ่มขึ้นเท่ากับเงินเฟ้อที่ 3% เพื่อให้เห็นค่าเทอมในอนาคต
การศึกษาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทำให้ราคาของการศึกษาไม่เท่ากัน ค่าเทอมในวันนี้อาจไม่ใช่ค่าเทอมที่เราต้องจ่าย แต่แน่นอนว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตตามเงินเฟ้อทางการศึกษา การศึกษารูปแบบมาตรฐานใช้เงิน 5.5 แสนบาท แบบผสมใช้เงิน 3.7 ล้านบาท และแบบนานาชาติ ใช้เงิน 18 ล้านบาท และนี่คือค่าเทอมของ “ลูก 1 คน”
“การวางแผนทางการเงิน คือเส้นทางของการสร้างสมบัติทางการศึกษา”
หลายคนเห็นจำนวนเงินที่ต้องใช้ในการศึกษาบุตรแล้วอาจคิดว่าเงินนั้นเป็นจำนวนที่สูงมากๆ มากกว่าเงินเก็บทั้งชีวิต หรืออาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเงินได้มากขนาดนั้น จนทำให้รู้สึกท้อแท้
บริษัทจัดการลงทุน พรินซิเพิล แนะนำว่าการวางแผนทางการเงินที่ดี มีวินัย ลงทุนระยะยาว และรู้จักเทคนิคการลงทุน สามารถช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ ในส่วนของเงินลงทุนที่เก็บไว้เพื่อเป็นการศึกษาลูกควรมีการประเดิมด้วยเงินก้อนแรก ซึ่งอาจไม่สูงนักแต่นับว่าเป็นการเริ่มลงมือเก็บเงินที่ดี
นอกจากนั้นในระหว่างทางการออมเงินแบบเฉลี่ยนต้นทุนหรือ DCA (Dollar Cost Average) จะยังสามารถช่วยให้คุณมีวินัยในการลงทุน อีกทั้งยังได้เฉลี่ยต้นทุนอยู่อย่างสม่ำเสมอ เรามักได้รับเงินพิเศษในแต่ละปี เช่น Bonus หรือค่าคอมมิชชั่นพิเศษ อย่าเอาเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายทั้งหมด แต่ควรแบ่งไว้ส่วนหนึ่งสำหรับการลงทุนเพื่อการศึกษาให้ลูก
เงินก้อนใหญ่ เก็บได้โดยใช้เงินก้อนเล็ก เมื่อมีเงินเหลือในแต่ละเดือนหรือแต่ละปี เราควรแบ่งเงินนั้นส่วนหนึ่งมาใช้ในการเก็บเงินเพื่อลูกเพื่อสร้างสมบัติทางการศึกษา
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, FINNOMENA, บลจ. พรินซิเพิล จำกัด
ที่มาของภาพ : Fund talk-Finnomena