ตลาดหุ้นแกว่งตัว รอผลเจรจารัสเซีย-ยูเครนรอบที่ 4 วันพฤหัสนี้

Highlight
สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน การสู้รบยืดเยื้อสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจจะส่งผลต่อเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์ แนวโน้มสถานการณ์อาจจะไม่จบลงง่ายๆ และความรุนแรงอาจจะเพิ่มขึ้น รัสเซียระงับการส่งก๊าซไปยังยุโรปจะทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามทำให้ตลาดหุ้น ยังต้องติดตามการเจรจารอบที่ 4 ในวันพฤหัสนี้ รวมทั้งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันเดียวกัน
หุ้นเมื่อวานนี้
ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 32,817.38 จุด ร่วงลง 797.42 จุด (-2.37%) เข้าสู่ภาวะปรับฐาน (Correction) แล้ว เนื่องจากดัชนีร่วงลง 10% จากระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทําไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2565 นักลงทุนวิตกกังวลว่า การพุ่งข้ึนของราคาน้ํามันอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนนั้น จะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งข้ึนและส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
Nasdaq เข้าสู่ภาวะตลาดหมี จากผล ของสงคราม เข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market ) เนื่องจากดัชนีทรุดตัวลง 20% จากระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทําไว้เมื่อ วันที่ 19 พ.ย. 2564
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อวานนี้ แต่ดีดตัวขึ้นพ้นจากระดับต่ำสุดของวัน โดยได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้ตลาดหุ้นเยอรมนีและอิตาลีเข้าสู่ภาวะซบเซาหรือภาวะหมี (bear market) ตลาดหุ้นเยอรมนีและตลาดหุ้นอิตาลีดิ่งลงมากกว่า 20% แล้วจากระดับปิดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ซึ่งยืนยันว่าตลาดเข้าสู่ภาวะหมี
ยูโรโซน - ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนเดือนมี.ค. ร่วงลงแตะที่ระดับ -7.0 จากระดับ 16.6 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับต้ังแต่เดือน พ.ย.63
SET Index ร่วง 45 จุด เมื่อวานนี้ นักลงทุนสถาบันขายหนัก Fund flow ต่างชาติไหลออก กังวลสงครามยูเครนรัสเซียยืดเยื้อกระทบเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่มธนาคารถูกเทขายหนักสุด ได้แก่ KBANK BBL SCB ลดลงเฉลี่ย 4-5%
กลุ่มน้ํามัน- ราคาน้ํามันดิบพุ่งใกล้แตะระดับ 120$ หลังสหรัฐและยุโรป เตรียมแบนน้ํามันจากรัสเซีย ราคาน้ํามันดิบ WTI พุ่งขึ้นอีก 3.72$ (+3.2%) ปิดที่ระดับ 119.4$/bbl สูงสุดในรอบ 14 ปี รับข่าวสหรัฐและชาติพันธมิตรใน ยุโรปกําลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะระงับการนําเข้าน้ํามันและก๊าซ ธรรมชาติจากรัสเซีย โดยมีเป้าหมายที่จะตอบโต้รัสเซียกรณีใช้กําลังทหารบุก โจมตียูเครน และมีข่าวสภาฯ สหรัฐเล็งออกกฎหมายห้ามนําเข้าน้ํามันดิบจาก รัสเซีย
หุ้นเอเชีย เปิดลบแต่แนวโน้มเริ่มฟื้นในวันนี้
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 24,974.35 จุด ลดลง 247.06 จุด หรือ -0.98%
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,372.55 จุด ลดลง 0.31 จุด หรือ -0.01% ส่วนดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,082.39 จุด เพิ่มขึ้น 24.76 จุด หรือ -0.12%
บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีกล่าวว่า SET Index แกว่งตัวแคบๆ ในวันนี้ (8 มี.ค.) หลังจากปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเมื่อวานนี้ โดยตลาดรอดูปัจจัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 วันข้างหน้า คือการเจรจาในรอบที่ 4 รวมทั้ง การประชุมธนาคารกลางของสหรัฐ ที่จะมีมาตรการสยบเงินเฟ้ออย่างไร ตามที่คาดการณ์ล่าสุด คือการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วง 0.25-0.5%
อย่างไรก็ตามสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงความกังวลภาวะ Stagflation เงินเฟ้อพุ่งขึ้นแต่เศรษฐกิจ ชะลอตัวจากผลกระทบการระงับการนําเข้าน้ํามันจากรัสเซียซึ่งเป็นลบต่อทิศทางการลงทุน
อย่างไรก็ตามราคาน้ํามันดิบที่ทรงตัวระดับสูงเป็นบวกต่อกลุ่ม พลังงานซึ่งคาดว่าจะช่วยพยุงดัชนีให้สลับรีบาวด์ข้ึนได้
เงินเฟ้อ ..ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
สถานการณ์ในยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้นและอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง สถานการณ์ในยูเครนยังคงคาดการณ์ลำบาก โดยเราคาดว่า SET Index มีโอกาสลงได้สูงสุดที่ 10% ในกรณีที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นอีก
ซึ่งอาจเป็นผลจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่สูงขึ้น แรงกดดันด้านการท่องเที่ยวของไทยและ GDP ที่ลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทุก ๆ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จะส่งผลกระทบต่อ GDP ของไทยที่ 0.96% และอัตราเงินเฟ้อที่ 0.4%
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเกิดจากวิกฤติด้านอุปทานไปพร้อมกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลดลงจากราคาสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Stagflation) ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นไทย เนื่องจากธนาคารกลางต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในขณะที่การเติบโตอ่อนแอลง
ประเด็นต้องติดตาม
ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ จับสัญญาณเฟดปรับข้ึนดอกเบี้ย - สหรัฐจะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ในวันที่ 10 มี.ค. เบื้องต้น Consensus คาด ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะพุ่งแตะระดับ 7.9% จาก 7.5% ในเดือน ธ.ค. ทําสถิติ สูงสุดในรอบ 40 ปี ดังนั้นหากตัวเลขยังออกมาสูงกว่าที่คาดไว้จะทําให้ตลาด กลับไปกังวลว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงขึ้นเป็นลบต่อตลาดทุน
หุ้นไหนได้ประโยชน์
จากความผันผวนที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและสถานการณ์ในยูเครนทำให้ บล.กรุงศรี ยังคงเป้าสิ้นปี 2565 ของ SET Index ที่ 1,680 จุดอิงตามกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 96.29 บาท และ EYG ที่ -0.875SD
สำหรับหุ้นน้ำมัน ที่ได้ประโยชน์โดยตรงได้แก่ PTTEP PTT TOP SPRC BCP BANPU ราคาน้ํามันดิบ ค่าการกลั่น ราคาถ่านหิน ทรงตัวระดับสูง สำหรับราคาหุ้นนั้นก็ปรับขึ้นไปสูงเช่นเดียวกัน
แนะนำ “ซื้อเมื่อย่อตัว”
บริษัทหลักทรัพย์กสิกร (KS) กล่าวว่า สงครามในยูเครนไม่ได้เป็นไปอย่างที่รัสเซียต้องการ เนื่องจากการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนชาวยูเครนและการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกที่เข้มข้นขึ้น
ซึ่งอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ 2 (ยูเครนยืนหยัดต่อสู้) หรือสถานการณ์ที่ 3 (ปธน.ปูติน และ/หรือ NATO-สหรัฐ-อียู ตอบโต้มากเกินความจำเป็น) ซึ่งแย่กว่าสมมติฐานกรณีพื้นฐานของแรกคือสถานการณ์ที่ 1 (การทำสงครามที่จำกัดกับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในกรุงเคียฟ) เพราะมีโอกาสเกิดการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นและการตอบโต้ทางทหารซึ่งกันและกัน
KS ใช้แนวรับหลักที่ 1,580-1,630 จุด (หรือ -0.625SD ถึง -0.75SD) หรือ downside ที่ 5% จากระดับสูงสุดในปี 2565 ที่ 1,720 จุด สำหรับสถานการณ์ที่ 2 และ 1,500-1,540 จุด (หรือ -0.375SD ถึง -0.50 SD) หรือ downside ที่ 10% สำหรับสถานการณ์ที่ 3
KS คงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะกลาง เป้าหมายดัชนี 1,740 จุด
1. เฟดมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายที่แข็งกร้าวน้อยลงกว่าที่ตลาดคาดก่อนหน้า
2. แนวโน้ม GDP และ EPS ของไทยที่แข็งแกร่งในปี 2565-66
3. ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นบวกกับกำไรของตลาดหุ้นไทย เพราะถ่วงด้วยกลุ่มพลังงานในสัดส่วนสูง และ
4. การซื้อสุทธิจากต่างประเทศที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง หากยูเครน-รัสเซียสามารถบรรลุข้อตกลงทางการทูตได้ มีโอกาสจะเห็น upside ต่อของ SET Index ที่ 1,740 จุด (หรือ EYG ที่ -1SD) “ซึ่งเป็นกรณีที่ดีที่สุดของเรา” KS กล่าว
ธีมการลงทุนและหุ้นแนะนำประจำเดือนของ KS
- แนวโน้มการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ดีขึ้น (CPALL OSP และ STEC)โดย คาดว่ารัฐบาลจะอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศก่อนการเลือกตั้ง
- Pent-up demand สำหรับการเดินทาง (AMATA CENTEL และ BH) คาดว่ายอดขายที่ดินของ AMATA จำนวนคนไข้ของ BH และอัตราการเข้าพักและอัตราห้องพักเฉลี่ยของ CENTEL จะสูงขึ้น หลังวิกฤติโควิด-19
- ป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น (BANPU BCP และ PSL)
- ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นผลบวกต่อ BANPU BCP และ PSL
- หุ้นกลุ่ม Yield play (KKP ORI DTAC และ BAM) คาดว่าหุ้นปันผลจะทำผลงานได้ดีกว่าในช่วงการปรับฐานของตลาด
- อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น (BLA) อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นน่าจะช่วยกระตุ้น ROI ของ BLA
- หุ้นกลุ่ม Growth play (BE8) คาดว่า BE8 จะเติบโตที่ 57%/44% ในปี 2565-66
ข่าวยอดนิยม

6 แอปฯ "ออมทอง" ไม่ต้องมีเงินก้อน ก็เริ่มลงทุนได้ !

7 แอป สร้างรายได้เสริม ไม่ต้องออกจากบ้าน ก็หาเงินได้!

ส่องรายได้คนขับส่งอาหาร ทางเลือกอาชีพยุคโควิด

6 บัญชี “ออมทรัพย์ดิจิทัล” ดอกเบี้ยดีต่อใจ สมัครง่ายผ่านออนไลน์ !
