ลงทุนแบบไหน กลางไฟสงครามรัสเซีย-ยูเครน?
Highlight
ท่ามกลางไฟสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อและทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงกับไทย ในขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินเฟ้อสูง ปัญหาในห่วงโซ่อุปทานที่รุนแรงขึ้นเป็นผลกระทบทางอ้อม บลจ.กรุงศรี แนะลงทุน KFHHCARE เป็นกองทุนด้านสุขภาพ และกองทุน KFCYBER ที่ลงทุนด้านธุรกิจออนไลน์ เมตาเวิร์ส และสงครามไซเบอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เลี่ยงผลกระทบจากภาวะสงคราม
สถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนส่งผลให้การลงทุนมีความเสี่ยงเพิ่มสูงมากขึ้น เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐและประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อการค้าในตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะรัสเซียเป็นผู้ส่งออกสินค้าสำคัญหลายประเภท โดยเฉพาะน้ำมัน ซึ่งรัสเซียส่งออกน้ำมันราว 7% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก ดังนั้น การที่รัสเซียถูกคว่ำบาตร จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ยังไม่มีการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียก็ตาม
นายฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ. กรุงศรี จำกัด วิเคราะห์ว่ารัสเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 12 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 1.75% ของเศรษฐกิจโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทยราว 3 เท่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจไม่ใหญ่มากนัก
อย่างไรก็ดี รัสเซียเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ โดยนอกจากเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลกแล้ว รัสเซียยังส่งออกไททาเนียมซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเครื่องบินมากเป็นอันดับสองของโลก ส่งออกนิกเกิลซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราว 7% ของอุปทานโลก ส่งออกพัลลาเดียมซึ่งเป็นส่วนประกอบในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ราว 25-30% ของอุปทานโลก และเป็นผู้ส่งออกทองแดง อลูมิเนียม ผลิตภัณฑ์ไม้รายใหญ่ของโลก
ถึงแม้ขนาดเศรษฐกิจรัสเซียไม่ได้ใหญ่มาก แต่รัสเซียมีสินค้าส่งออกที่มีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้น การคว่ำบาตรรัสเซียจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ
โดยเฉพาะประเทศในยุโรปซึ่งนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเป็นหลัก โดยเยอรมนีนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติราว 38% จากรัสเซีย โดยที่การผลิตไฟฟ้าในเยอรมนีราว 20% ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ ดังนั้น หลายประเทศในยุโรปจึงลังเลที่จะคว่ำบาตรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เนื่องจากการหาแหล่งพลังงานจากผู้ค้ารายใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นผู้นำในการที่จะคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียก็อาจจะประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เนื่องจากถึงแม้สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันได้เกินความต้องการ แต่สหรัฐยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน เพราะไม่ใช่ทุกรัฐในสหรัฐสามารถผลิตน้ำมันได้
การนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศในหลายรัฐยังคงมีราคาถูกกว่าการขนส่งมาจากแหล่งผลิตน้ำมันในสหรัฐ และถึงแม้สหรัฐนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียไม่มาก แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก
นักวิเคราะห์หลายรายยังคงมีคำถามว่า การคว่ำบาตรรัสเซียได้ผลจริงหรือ โดยนาย Josh Lipsky ผู้อำนวยการของ GeoEconomics Center at the Atlantic Council ตั้งข้อสังเกตุว่า ถึงแม้รัสเซียจะโดนคว่ำบาตรน้ำมันจากสหรัฐและชาติตะวันตก แต่รัสเซียยังคงสามารถส่งออกน้ำมันให้ประเทศอื่นๆได้ และสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้นตามราคาในตลาดโลก กล่าวคือ ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นมาเกือบเท่าตัวนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน
ดังนั้นถึงแม้รัสเซียขายน้ำมันได้น้อยลงราวครึ่งหนึ่ง แต่รัสเซียยังคงมีรายได้จากการขายน้ำมันลดลงไม่มาก ในขณะที่ประเทศอื่นๆต้องประสบปัญหาเงินเฟ้อ สำหรับสินค้าประเภทอื่นๆก็เข่นเดียวกัน รัสเซียยังคงสามารถส่งออกผ่านประเทศอื่นได้เช่นกัน ในขณะที่การที่จะเรียกร้องให้กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อชดเชยอุปทานที่หายไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากช่วงโควิดกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันไม่ได้ลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
สำหรับประเทศไทย ไทยส่งออกสินค้าไปรัสเซียเพียงราว 0.6% และส่งออกไปยูเครนราว 0.1% ของยอดส่งออกทั้งหมดในปี 2564 โดยสินค้าส่งออกสำคัญไปรัสเซีย ได้แก่ รถยนต์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์ยาง
ดังนั้นการส่งออกไปรัสเซียจึงส่งผลกระทบต่อยอดส่งออกโดยรวมของไทยเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ไทยอาจได้รับผลกระทบในทางอ้อมเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจช้าลง และประเทศในยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกราว 8% ของยอดส่งออกของไทยทั้งหมดอาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบอยู่บ้าง เนื่องจากนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญ โดยในปี 2562 ชาวรัสเซียเกือบ 1.5 ล้านคนเดินทางเข้ามาในไทย คิดเป็น 3.7% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และในปี 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียราว 31,000 คนเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
อย่างไรก็ดี เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัวอย่างช้าๆ จึงอาจไม่ส่งผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก แต่อาจส่งผลให้การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า
ในส่วนของภาคธุรกิจ บริษัทใหญ่ๆในไทยเพียงไม่กี่บริษัทมีธุรกิจอยู่ในรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไรก็ดี มีชาวรัสเซียจำนวนมากเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย ดังนั้น การที่ธนาคารรัสเซียบางแห่งถูกคว่ำบาตรจึงส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมการเงินของนักธุรกิจรัสเซียในไทย เช่น ไม่สามารถใช้บัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดของธนาคารที่ถูกคว่ำบาตรได้ และไม่สามารถโอนเงินชำระค่าสินค้าได้
ปัญหารัสเซีย-ยูเครนมีผลกระทบโดยตรงต่อไทยในแง่ของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมาก ในขณะที่ในส่วนอื่นๆไม่มีผลกระทบโดยตรงมากนัก อย่างไรก็ดี ไทยจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาในห่วงโซ่อุปทานซึ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย
ในส่วนของการลงทุน นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน ในขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และอาจมองว่าปัญหารัสเซีย-ยูเครนจะจบเร็ว หรืออาจมองเป็นโอกาส เนื่องจากไทยไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง และอาจได้ประโยชน์จากการส่งออกสินค้าบางรายการทดแทนสินค้าจากรัสเซีย รวมถึงอาจมองว่านักลงทุนต่างชาติมองไทยเป็นตลาดที่ปลอดภัยจากปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ก็อาจตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในระดับที่เหมาะกับท่าน
สำหรับกองทุนที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน นอกจากกองทุนหุ้นไทยที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีในปีนี้แล้ว กองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุน KFHHCARE เป็นกองทุนแบบ defensive จึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามมากนักในขณะที่ภาวะการระบาดของโอมิครอน ถึงแม้อาการจากการติดเชื้อไม่รุนแรง แต่สามารถติดเชื้อได้ง่าย ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบางจึงยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง
อีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจคือ กองทุน KFCYBER ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ เมตาเวิร์ส และสงครามไซเบอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สำหรับ KFHHCARE กองทุนจะนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทหมวดอุตสาหกรรมทางด้านสุขภาพ
ส่วนกองทุน KFCYBER จะนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ Allianz Global Investors Fund - Allianz Cyber Security, Class RT (USD) (กองทุนหลัก) บริหารจัดการโดยบริษัท Allianz Global Investors GmbH โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุน
กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลกของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) กองทุนไทยอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non - investment Grade) หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated) โดยมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารดังกล่าวเมื่อรวมกับสัดส่วนการลงทุนของกองทุนหลักจะไม่เกิน 20% ของ NAV กองทุน