6 ปัจจัยกดดันหุ้นจีน นักลงทุนถือหุ้นจีนเต็มพอร์ต ควรถอดใจหรือยัง?
Highlight
นักลงทุนที่ถือหุ้นจีนอยู่ จะต้องตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะปัจจัยที่รุมเร้าตลาดหุ้นจีนอยู่ตอนนี้ ทำให้ตลาดหุ้นจีน จากต้นปีถึง 25 มีนาคม ยังติดลบกว่า 10%
CSI 300 -14.76%, เป็นดัชนีหุ้น A-Share 300 ตัว ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น
Shanghai Composit -11.12% เป็นดัชนีหุ้น A-Share และ B-Share ที่จดทะเบียนอยู่ในเซี่ยงไฮ้
Shanghai A-Share -11.108% จดทะเบียนในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถ่วงน้ำหนักตาม market cap
HS China Ent -10.41%
สถานการณ์แบบนี้จะเอาอย่างไรต่อ เพื่อให้การลงทุนของเราเป็นไปตามเป้าหมาย
1. สถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างรัสเซียและยูเครน ในขณะที่จีนและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น ทำให้ supply chain หยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในหุ้นจีน
2 โควิดสายพันธุ์โอมิครอนระบาดที่จีนอีกครั้ง ทำให้นโยบาย Zero COVID ทำไม่ได้แล้ว วัคซีนจีนไม่สามารถป้องกันโอมิครอนได้เหมือนวัคซีนต่างประเทศที่เป็น mRNA ทำให้จีนต้องล็อคดาวน์เมืองสำคัญหลายเมือง ไม่ส่งผลดีกับเศรษฐกิจจีนนัก ทำให้ supply chain ทำให้ราคาหุ้น A-Share ปรับลดลงแรงกว่า H-Share กังวลกำลังซื้อในประเทศและ GDP ในประเทศ ที่จะลดลงจากการปิดเมืองสำคัญหลายเมือง
3. ความกังวลเรื่อง หุ้น ADR ที่จดทะเบียนอยู่สหรัฐฯ มีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกถอดถอน ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน ในปี 2024 ซึ่งมีการประกาศรายชื่อออกมาอีก 5 บริษัท ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Alibaba, Tencent, Meituan ถ้าหากไม่สามารถปฏิบัติได้ตามกฎใหม่ของสหรัฐ เช่นการรายงาน และตัวเลขทางการงบการเงิน ตามกฎหมายใหม่
4. การจัดระเบียบของทางการจีน ที่ขยายขอบเขตไปในหลายๆธุรกิจ
- เริ่มต้นจากอสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกจัดระเบียบอย่างหนัก ในเรื่องการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน มีกฏเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ภาคอสังริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
- ธุรกิจด้านการแพทย์ ด้านราคายา ออกกฎเกณฑ์หลายอย่างให้ราคายาถูกลง
- ธุรกิจด้านการศึกษา ติวเตอร์ออนไลน์ กำหนดอายุของเด็กที่ห้ามติว และไม่ให้ผู้ปกครองจ่ายเงินมากเกินไปจนเป็นภาระ
- ด้านพลังงาน ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ ลดการใช้ถ่านหิน และการสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก การปราบคริปโทเคอเรนซีอย่างหนัก ดูแลเรื่องลดการใช้พลังงาน
- อินเตอร์เน็ตโดนจัดระเบียบอย่างหนัก ทั้งกฎหมายเรื่อง Data Protection
- กฎหมาย Anti-Trust ในกรณีของ Alibaba, Tencent and Meituan ที่เอาเปรียบคู่แข่งในเชิงผลประโยชน์ทำให้มีการจัดระเบียบของทางการจีน
- การดูแลพนักงาน ดูแล Labor Law เพื่อให้คนขนส่งอาหาร ได้รับการดูแลในเรื่องสวัสดิการและรายได้ตามความเหมาะสม
- ธุรกิจเกม รัฐบาลจีนออกกฏเกณฑ์ว่า ไม่ให้เสนอเกมต่อคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และไม่อนุญาตให้เล่นเกมในวันหยุด
- ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นภาคที่ใหญ่ เมื่อการปล่อยสินเชื่อตึงตัว ทำให้กระทบอย่างหนัก
- ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของจีนและรัสเซีย ในช่วงที่จีนจัดงานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้เดินทางเยือนจีนในช่วงพิธีเปิดการแข่งขัน และประกาศว่าจีนและรัสเซียเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไม่มีขีดจำกัด แต่เรื่องนี้ก็ได้คลี่คลายลงแล้ว จากการส่งสัญญาณ ว่าจีนเริ่มถอยการสนับสนุนรัสเซีย
ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยภายนอก การลงทุนจะมองไปที่ปัจจัยพื้นฐานรายตัว การลงทุนในกองทุนรวมจะมี Fund Manager เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีให้เราลงทุน ดังนั้นนักลงทุนที่อ่อนไหวต่อข่าวสารต่างๆ อาจต้องทบทวนเป้าหมายของการลงทุนของเรา ว่าเป็นการลงทุนในระยะไหน
การลงทุนระยะสั้นในสถานการณ์แบนนี้ทำให้ผลตอบแทนเป็นลบอาจจะพิจารณาขาย หรือลดสัดส่วนการลงทุนลง
สำหรับนักลงทุนในระยะกลางหรือระยะยาว อยากให้มองปัจจัยพื้นฐานมากกว่า การที่หุ้นตกลงมากกว่า 10% ควรซื้อสะสม เพื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดหวังได้
สำหรับปัจจัยลบต่างๆ รัฐบาลจีนได้ออกมาให้ความมั่นใจกับนักลงทุน ในหลายเรื่อง
ประการแรกให้การสนับสนุนบริษัทจีนไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ เช่น ADR ขอของสหรัฐ ในกรณีทีถูกถอนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ บริษัทเหล่านั้นสามารถเข้าจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หรือเซี่ยงไฮ้ ได้
ตัวอย่างบริษัทใหญ่ที่เข้าไปจดทะเบียนที่ฮ่องกง ทั้ง Tencent และ Alibaba ทำให้นักลงทุนคลายความกังวล ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็จะกำกับดูแลให้มีเสถียรภาพมากขึ้นและกำกับดูแลให้ชัดเจนขึ้น
เรื่องสุดท้าย รัฐบาลจีนให้คำมั่นจะดูแลเสถียรภาพของตลาดและนักลงทุนสถาบัน ข่าวลือที่เกี่ยวกับว่ารัฐบาลจีนจะไม่สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ ก็น่าจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลไป ประเด็น เชื่อว่าจีนพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว การลงทุนสำหรับจีนควรจะเป็นการลงทุนในระยะกลางหรือระยะยาวมากกว่าการซื้อๆ ขายๆ
จีนตั้งเป้าจีดีพี ปีนี้โต 5.5% ท่ามกลางการระบาดของโอมิครอนอย่างหนัก ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลัง จะมีมาตรการทั้งด้านการเงินและการคลังออกมากระตุ้นเศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาการงทุน
ที่มา : Facebook & Youtube : Wealth Republic