เงินเฟ้อ-สงคราม-ดอกเบี้ยขาขึ้น ควรลงทุนอย่างไร?
สถานการณ์โลกมีหลายปัจจัยที่กระทบต่อการลงทุน ทั้งสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นคาดว่าจะปรับ 6-8 ครั้งในปีนี้ สถานการณ์ในประเทศจีน และสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งเริ่มผ่อนคลายลงเหลือประเด็นสงครามยูเครนที่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ธนาคารกรุงศรีอยุธยาแนะนำกระจายความเสี่ยงการลงทุน เน้นตราสารหนี้ระยะสั้น 6-12 เดือนและลงทุนกองทุนหุ้นโลก แนะนำกองทุน KFSMART และกองทุน KFGBRAND เป็นกองทุนหลัก
สถานการณ์รอบโลกในขณะนี้มีหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบการลงทุน ทั้งเรื่องสหรัฐเตรียมขึ้นดอกเบี้ย สถานการณ์ในจีน และสงครามยูเครน-รัสเซีย เราควรเตรียมตัวและจัดพอร์ตอย่างไรในช่วงตลาดทุนผันผวน และกองทุนไหนน่าสนใจ
วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ทันข่าว Today” ว่า สถานการณ์การลงทุนในไตรมาสแรกค่อนข้างโหดร้ายและผันผวนจากสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบรรยากาศการลงทุน ทั้งเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed เตรียมขึ้นดอกเบี้ย เรื่องจีน และเรื่องสงครามยูเครน-รัสเซีย
คุณวินกล่าวว่า เราได้ผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายในไตรมาสแรกมาได้ มีปัจจัยหนักๆ ที่เข้ามากระทบบรรยากาศการลงทุนโดยที่ 2 ใน 3 ของปัจจัยดังกล่าวนี้ เริ่มผ่อนคลายไปบ้างแล้ว เหลือเรื่องยูเครนที่ยังเป็นปัญหาอยู่
สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐนั้นหากมอง FOMC Dot Oot ถึงสิ้นปี คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 6 ครั้ง แต่ตลาดมองว่าจะขึ้น อีก 8 ครั้ง รวม 9 ครั้ง โดยขึ้นครั้งละ 0.25%
“เรามองเรื่องนี้ว่า หากเงินเฟ้อลดลงบ้าง และเศรษฐกิจสหรัฐชะลอการเติบโต ก็จะทำให้การขึ้นดอกเบี้ยลดการเร่งตัว หรือปรับขึ้นไม่แรงอย่างที่คาดกันไว้ อาจจะขึ้นน้อยในครึ่งปีหลัง หากทั้งปีขึ้นจริงเพียง 5-6 ครั้ง ก็นับเป็นข่าวดี จะทำให้หุ้นกลุ่ม Growth ที่เคยร่วงแรงในช่วงที่มีข่าวการปรับดอกเบี้ยขึ้น ก็จะกลับมาฟื้นได้ โดยที่ในช่วงไตรมาส 2 เราเริ่มเห็นการฟื้นตัว” คุณวินกล่าว
ปัจจัยด้านสงครามยูเครน-รัสเซีย ตลาดคาดว่า ในช่วงเริ่มต้น รัสเซียคาดว่าจะจบสงครามได้เร็ว เหมือนตอนไครเมียร์ หรือ จอร์เจีย ไม่ได้ต้องการสงครามยืดเยื้อ แต่ว่ายูเครนยื้อไว้นาน และยูเครนเป็นประเทศที่ใหญ่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสงครามจะอยู่ในวงจำกัดแค่ยูเครน-รัสเซีย เนื่องจากกลุ่มประเทศยุโรป รู้ดีว่ารัสเซียมีนิวเคลียร์เขาจะใช้เมื่อไหร่หรือไม่ใช้ก็ได้ ยุโรปจึงมีความระมัดระวังไม่ผลีผลามในการเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ พยายามให้สงครามอยู่กรอบวงของยูเครน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแม้ว่าสงครามจะจบลง แต่สิ่งที่ตกค้างอยู่คือการแซงชั่น หรือการคว่ำบาตรรัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและแม้แต่สหรัฐเองก็โดนหางเลข และหวังว่าการแซงชั่นก็จะไม่ยืดเยื้อ สิ่งที่ต้องติดตามอีกประการก็คือ ความเสี่ยงที่รัสเซียอาจผิดนัดชำระหนี้ (Default) แต่เท่าที่ติดตามรัสเซียพยายามจ่ายตรงเวลา สิ่งที่ติดขัดจากการคว่ำบาตรคือคือการชำระเงินผ่านระบบ SWIFT
สำหรับตลาดหุ้นจีนที่มีความผันผวน ก็เป็นอีกปัจจัยกระทบต่อการลงทุน ถ้าจำกันได้รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการเก็บกวาดบ้านในช่วงที่ผ่านมา มีมาตรการเข้มงวดที่นำมากำกับใช้ในหลายอุตสาหกรรม แต่ในปีนี้รัฐบาลสหรัฐได้ออกมาตรการ ว่าอาจมีหุ้นจดทะเบียน 4-5 บริษัทที่เป็น ADR อาจถูก Delist หรือถูกเพิกถอน ทำให้หุ้นจีนในกลุ่มเทคโนโลยีร่วงแรง จากนั้นทางการจีนได้ออกมา ช่วยสนับสนุนไม่ให้ตลาดหุ้นเหวี่ยงและผันผวนมากเกินไป ทำให้หุ้นจีนที่ปรับลงไป ก็ฟื้นตัวกลับมา อย่างไรก็ตามหุ้นจีนเหล่านี้ แม้จะถูก Delist จากสหรัฐ แต่ก็ยังมีการจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง และจีน ทำให้ลดแรงกดดันลง
นอกจากนี้ทางการจีนได้ปรับมาตรการ การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 โดยการปิดเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น เซี่ยงไฮ้ อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจจีนเริ่มดีขึ้น การคาดการณ์เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2-3-4 กำลังฟื้นตัว โดยที่ตลาดรับข่าวร้ายไปหมดแล้ว และราคาหุ้นในขณะนี้ไม่แพงมาก
3 เรื่องหลักที่มีผลกระทบต่อหุ้นในช่วงที่ผ่านมา จะปรับพอร์ต และปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร?
คุณวินกล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอนเราว่าหากพอร์ตเรามีการกระจายความเสี่ยงอย่างหลากหลาย ในช่วงที่พอร์ตหุ้นได้รับผลกระทบ แต่ถ้าเรามีทองคำในพอร์ตก็ช่วยได้ เพราะราคาทองคำขึ้นสวนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
พอร์ตฝั่งหุ้น ควรจะเป็นพอร์ตหุ้นทั่วโลกเป็นหลัก และกระจายหลายประเทศ อาจจะมีพอร์ตเสริมอาจกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นเทคจีน หรือหุ้นอื่นๆ ได้
ช่วงที่เรากังวลหุ้นจะลดลงมาก เช่นช่วงที่เกิดกับจีน แต่ถ้าเราพิจารณาและวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่า โลกไม่ได้ล่มสลาย หุ้นต้องกลับมาฟื้นใหม่ ถ้าเราตั้งสติและเพิ่มเงินลงทุนสวนทางคนอื่นบ้างเราจะได้ประโยชน์มาก ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นช่วง รัสเซีย-เครน หุ้นเทคจีน หรือเรื่องดอกเบี้ย
ดังนั้นเราควรมีกระสุนไว้บ้าง คือเงินสด ที่เราควรมีประมาณ 20-30% ในช่วงสถานการณ์ผันผวนก็จัสามารถซื้อหุ้นในราคาถูกในขณะที่คนอื่นขาย ถ้าใครทำ DCA ยิ่งดี เป็นการเฉลี่ยต้นทุน จังหวะการเข้า-ออกในการลงทุน ถ้าหวะเข้าดีแล้ว จังหวะออก อาจจะทยอยขายออกทำกำไรบางส่วน ที่เหลือเป็นปล่อยให้ Net Profit Run
กองทุนแนะนำ
กองทุนที่แนะนำในพอร์ต ถ้าเป็นตราสารหนี้ แนะนำว่าควรเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ที่กรุงศรีฯ มีกองทุน KFSMART ระยะเวลาลงทุน 6-12 เดือน เน้นตราสารหนี้ภาครัฐ สภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวัน ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากธนาคาร
กองทุนหุ้น แนะนำกองทุนหุ้นโลก แนะนำ KFGBRAND หุ้นเหล่านี้มีความหวือหวาน้อย มีการกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลกในทุก Sector ในข่วงที่ตลาดมีความกังวลในเรื่องต่างๆ กองนี้มีความผันผวนน้อย ทำให้ลดความกังวลลงได้
ในส่วนที่เป็นกองทุนเสริม แนะนำ KFCHINA-A, KT-ASHARES และ KFGG ซึ่งเป็นหุ้น Growth
ในขณะนี้เราเข้าสู่ไตรมาส 2 แล้ว อาจจะมีโอกาสที่ภาวะสงครามหรือปัจจัยที่เข้ามากระทบกับการลงทุน ก็อย่าตระหนกเกินไป จัดพอร์ตตามที่แนะนำ โดยสรุปคือ กระจายความเสี่ยงในการลงทุน หรือในช่วงที่หุ้นตกก็อาจจะลงทุนเพิ่ม ตั้งสติดีๆ เราจะได้ของดีราคาถูก หรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมที่กรุงศรีฯ ได้ที่ @krungsriexclusive คุณวินกล่าวทิ้งท้าย