ttb analytics คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย กระทบเงินทุนไหลออกจากไทย
Highlight
การปรับขึ้นดอกเบี้ยรวดเดียว 0.5% และคาดว่าจะขึ้นหลายรอบของเฟด ส่งผลให้ตลาดเงินผันผวน มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนกันมโหฬาร เงินไหลออกทั้งเอเชียรวมทั้งไทยกลับไปยังตลาดเงินสหรัฐ ttb analytics ประเมินว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล-สหรัฐในรอบนี้กว้างมากถึง 2% สูงสุดในรอบ 15 ปี เงินบาทอาจอ่อนค่าถึง 34.80 บาท
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ สอดคล้องตามคาดการณ์ของตลาดการเงินและนักลงทุน
โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนพฤษภาคมนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2549 ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องติดต่อกันในสองการประชุม
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 50 Basis Points (bps) จะถือเป็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากที่สุดในรอบ 22 ปีนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 ที่เป็นครั้งสุดท้ายมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายที่ 50 bpsโดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีการปรับตัวสูงขึ้นตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้นอายุ 3 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 0.85% เป็นการเพิ่มขึ้น 50 bps เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นเดือนมีนาคม ยิ่งไปกว่านั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาวอายุ 10 ปีได้ปรับตัวทะลุ 3% ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมสะท้อนภาพความคาดหวังถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของตลาดการเงิน
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดย ttb analytics ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตลอดทั้งปี2565
โดยให้ความสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ที่ยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านการบริโภคที่ลดลงจากผลของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านการผลิตจากต้นทุนวัตถุดิบสินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศจีน อาจส่งผลให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศจีน เกิดความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น ทำให้ส่งกระทบต่อเนื่องไปยังระบบซัพพลายเชนภายในประเทศ
ทั้งนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี 2565 นี้ จะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ แตกต่างกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปรับตัวสู่ระดับ 2.25% - 2.50% ณ สิ้นปี 2565 จะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.75 %- 2.00% ซึ่งถือเป็นสถิติอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แตกต่างกันมากสุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2550
จากการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระดับสูง ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ
เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ ทำให้การลงทุนในตลาดการเงินสหรัฐฯ มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากภูมิภาคเอเชีย โดยเบื้องต้นเดือนเมษายน 2565 มีเงินลงทุนไหลออกจากภูมิภาคเอเชียกว่า 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การไหลออกของเม็ดเงินลงทุนจากภูมิภาคเอเชียเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลกระทบทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชียอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับเดือนเมษายนที่ผ่านมา การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลทำให้สกุลเงินหลักในเอเชีย ปรับตัวอ่อนค่าลง โดยสกุลเงินเยนของญี่ปุ่นทำสถิติอ่อนค่าสูงสุด โดยอ่อนค่าลง 5.5% จากเดือนมีนาคมสำหรับค่าเงินบาทไทย ปรับตัวอ่อนค่าลง 3.0%จากเดือนมีนาคม
โดย ณ สิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาค่าเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจากระดับ 33.3บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ถือเป็นการอ่อนค่าของเงินบาทในรอบเดือนมากที่สุดตลอดระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561
ttb analytics จึงได้ประเมินค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยประเมินกรอบค่าเงินบาทไว้ที่ 34.20 – 34.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ จากความคาดหวังของตลาดต่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิถุนายน