08 มิถุนายน 2565
1,503

World Bank ปรับลด GDP โลกลงเหลือ 2.9% อยู่ในโซนอันตรายอีกครั้ง หลังเผชิญราคาน้ำมันแพง เงินเฟ้อสูง

World Bank ปรับลด GDP โลกลงเหลือ 2.9% อยู่ในโซนอันตรายอีกครั้ง หลังเผชิญราคาน้ำมันแพง เงินเฟ้อสูง
Highlight

World Bank หรือธนาคารโลกได้ปรับลดประมาณการ World GDP Growth ปี 2565 ลงจาก 4.1% มาเหลือเพียง 2.9% ถือเป็นการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นสัญญาณของการเปิด Downside ของประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจ กลับมาอีกครั้ง ทำให้เศรษฐกิจโลกกับมาอยู่ในโซนอันตรายอีกครั้ง จากปัจจัยสำคัญคือสงครามรัสเซีย-ยูเครน จีนล็อกดาวน์ประเทศ ที่ทำให้ราคาพลังงานสูง เงินเฟ้อสูง แต่การผลิตและบริโภคต่ำลง หรือกำลังเข้าสู่ภาวะ Stagflation


สำหรับการปรับลด GDP โลกใหม่ของ World Bank ในปี 2565 โดยลงจาก 4.1% มาเหลือเพียง 2.9% ในขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วถูกปรับลดจาก 3.8% มาอยู่ที่ 2.6% จีนถูกปรับ ลดจาก 5.1% เหลือ 4.3% สำหรับไทยเราถูกปรับลดจาก 3.9% มาอยู่ทึ่ 2.9% 

การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัว 2.5% ในปี 2022 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 1.2 % เนื่องจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น สภาวะทางการเงินที่ตึงตัว และอุปทานที่หยุดชะงักเพิ่มเติม เพราะความขัดแย้งในยูเครน

ธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจของยูเครนจะหดตัว 45.1% ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจรัสเซียหดตัว 8.9% โดยก่อนหน้านี้ธนาคารโลกประเมินว่า เศรษฐกิจของทั้งยูเครนและรัสเซียจะสามารถขยายตัวเติบโตได้ในปีนี้

การปรับลดดังกล่าวสะท้อนความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงเชิง ภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงจากการเดินนโยบายการเงินตึงตัว 

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส มีมุมมองว่าภาวะดังกล่าวน่าจะสร้างแรงกดดันต่อการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอนาคต 

และน่าติดตามด้วยว่าในวันนี้ (8 มิ.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ของไทย ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% และคาดว่ามีโอกาสจะปรับง่ายขึ้นในอนาคต

WORLD BANK ปรับ GDP GROWTH โลกลง ขณะที่ DOWNSIDE ยังมี

ธนาคารโลก (World Bank) ได้ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกหรือ GDP Growth ใน ปีนี้ลงเหลือ +2.9% (จากเดิมเคยคาดไว้ที่ +4.1% เมื่อต้นปี)  โดยในปี 2021 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกสามารถขยายตัวได้ 5.7% หลังจากที่การระบาดใหญ่ของโควิดทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

เดวิด มัลพาส ประธานธนาคารโลก กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในขณะนี้อยู่ในจุดอันตรายอีกครั้ง เนื่องจากกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อสูงกับการเติบโตที่ช้าในเวลาเดียวกัน และแม้ว่าทั่วโลกจะสามารถเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้สำเร็จ แต่ความเจ็บปวดจากภาวะ Stagflation ที่เศรษฐกิจขยายตัวเติบโตอ่อนแอ แต่เงินเฟ้อกลับพุ่งสูง อาจคงอยู่เป็นเวลาหลายปี เว้นแต่อุปทานหลักจะเพิ่มขึ้น

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส วิเคราะห์ว่าการปรับลดตัวเลข GDP Growth ลงมาจาก 3 เหตุผลหลักๆดังนี้

1. ผลกระทบจากการทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

2. การที่จีนใช้มาตรการ Lock Down ที่เข้มงวด ทำให้การผลิตและบริโภคลดลง

3. ภาวะห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่ขัดข้อง จนทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อสูง

ในส่วนของไทย World Bank ได้ปรับประมาณการ GDP ลงจาก 3.9% เหลือ 2.9% ซึ่ง สอดคล้องกับสำนักวิจัยต่างๆ ได้ออกมาปรับลดตัวเลขคาดการณ์ GDP Growth ก่อนหน้า นี้ที่คาดว่า GDP Growth ปี 2565 อยู่ในกรอบ 2.5% - 3.5% 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ รัฐบาล ตัดสินใจเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา โดยผ่อนคลายมาตรการควบคุมจนใกล้ภาวะปกติ คาดทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ กลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติเหมือนช่วงเวลา ก่อนที่ Covid-19 จะระบาด และเป็นตัวหนุนให้ GDP Growth ไทยมี Downside จำกัด กว่าประเทศอื่นๆ

สรุป การปรับลดประมาณการ GDP ของ World Bank ในหลายประเทศนั้นเป็นการ เปิด Downside ให้กับประมาณการอีกครั้ง โดยต้องติดตามสถานการณ์สงคราม ยูเครน-รัสเซีย ที่ยังคงยืดเยื้อและเงินเฟ้อยังทรงตัวระดับสูง โดยคาดวันนี้ SET Index แกว่งกรอบ 1625-1645 จุด

SOFT COMMODITIES ยังน่าสนใจ

ราคาไก่เป็นล่าสุดอยู่ที่ 44 บาท/กก. ปรับเพิ่มขึ้น 4.8% จากช่วง 2 สัปดาห์ก่อน ทำสูงสุด ในรอบ 6 ปี นอกจากนี้ ตลาดส่งออกไก่ไทยจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 จากประเทศคู่ค้า ฟื้นตัวทั้งญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป อีกทั้ง การที่มาเลเซียประกาศจะระงับการส่งออกไก่ ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 65 ถือเป็นผลบวกต่อผู้ประกอบการไก่ไทย ได้แก่ GFPT, TFG CPF  ที่จะได้ลูกค้าใหม่ เช่น สิงคโปร์ หันมาสั่งซื้อไก่จากไทย มากขึ้น

ราคาสุกรหน้าฟาร์มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ที่ 113 บาท/กก. เพิ่มขึ้นถึง 8.7% จากช่วง 2 สัปดาห์ก่อน ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปัญหาสุกรขาดแคลน ถือเป็น ผลบวกต่อผู้ประกอบการสุกรในไทย ได้แก่ TFG และ CPF

ราคายางแท่งโลกล่าสุดอยู่ที่ 1.66 พันดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน เพิ่มขึ้น 2.8% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากความกังวลแนวโน้มผลผลิตยางพาราจะออกสู่ตลาดลดลง เพราะโรค ใบร่วงในต้นยางพาราที่อินโดนีเซีย และแนวโน้มความต้องการใช้ยางพาราโลกปรับสูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จึงแนะนำซื้อ NER และ STA

ราคาน้ำตาลดิบโลกล่าสุดอยู่ที่ 18.97 เซ็นต์/ปอนด์ ปรับลดลง 2.9% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ ผ่านมา โดยยังเคลื่อนไหวในกรอบ 18-20 เซ็นต์/ปอนด์ ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง โดยคาดปริมาณน้ำตาลโลกปี 2564/65 จะอยู่ในภาวะสมดุล 

ทั้งนี้แม้ว่าอินเดีย (ผู้ผลิต น้ำตาลรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก) ประกาศจำกัดส่งออกน้ำตาลไม่เกิน 10 ล้านตัน จนถึง ต.ค. 65 (หลังจากอินเดียระงับส่งออกข้าสาลีตั้งแต่ 15 พ.ค. 65) 

ฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส ประเมินว่า ประเด็นดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อราคาน้ำตาลโลก เพราะปกติอินเดียส่งออกน้ำมันไม่เกิน 10 ล้านตัน/ปี อยู่แล้ว โดยฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักแนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มน้ำตาลจะฟื้นตัวในปี 2565 ผลบวกจากแนวโน้มราคาขายน้ำตาลและแนวโน้มผลผลิตน้ำตาลที่สูงขึ้น จึงแนะนำ ซื้อ KSL (FV@B4.50) และเก็งกำไร KTIS KBS และ BRR

ราคาน้ำมันปาล์มดิบโลกล่าสุดอยู่ที่ 6.77 พันริงกิต/ตัน ลดลง 4.6% จากช่วง 2 สัปดาห์ ก่อน แต่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย (ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบราย ใหญ่สุดของโลก ราว 60% ผลผลิตทั้งหมด) ได้ประกาศระงับส่งออกน้ำมันปาล์มชั่วคราว ตั้งแต่ 28 เม.ย. 65 แต่ก็ได้ยกเลิกประกาศดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. 65 โดยราคาน้ำมันปาล์มปัจจุบันอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ถือเป็นผลบวกต่อผู้ประกอบการน้ำมัน ปาล์มดิบ UVAN UPOIC และ VPO และผู้ประกอบการน้ำมันปาล์มครบวงจร CPI และ LST

ราคาเมล็ดถั่วเหลือง (ต้นทุนของ TVO) ในตลาดโลก (CBOT) ตั้งแต่ต้นปีถึงวานนี้ปรับเพิ่ม 30% YTD อยู่ที 17.28 เหรียญสหรัฐฯ / บุชเชล (ราว 635 เหรียญสหรัฐฯ / ตัน) ตาม สภาวะเงินเฟ้อ และปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองทั่วโลกอิงจาก Stock to consumption ratio ตามรายงานของ USDA ช่วง พ.ค. 65 ที่ 26.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลังที่ 29.1% 

อย่างไรก็ดีราคากากถั่วเหลือง (สินค้าขายของ TVO) ในตลาดโลก YTD ปรับเพิ่ม เพียง 1.4% อยู่ที่ประมาณ 460 เหรียญสหรัฐฯ / ตัน เหตุเพราะปริมาณกากฯ สูงขึ้นตาม การ Crush โรงสกัดน้ำมันพืชทั่วโลก เพื่อสกัดน้ำมันถั่วเหลืองขาย หลังราคาน้ำมันพืชทรง ตัวสูง จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน ส่งผลต่อ Supply ฝั่งน้ำมัน ทานตะวันลดลง ในขณะที่ราคาขายกากถั่วเหลืองในประเทศเฉลี่ย พ.ค. 65 เพิ่มจากราคา เฉลี่ย ธ.ค. 65 ราว 16% แต่เริ่มลดลง 1% QoQ ประกอบกับราคาน้ำมันปาล์มในประเทศ ซึ่งเป็นสินค้าทดแทน ช่วง มิ.ย. เริ่มย่อตัวจาก 63 บาทต่อ กก. มาที่ 57 - 58 บาทต่อกก. ตามเหตุข้างต้น

ภาพรวมแนวโน้มราคากากถั่วเหลืองปรับขึ้นช้ากว่าเมล็ดถั่วเหลือง ทำให้คาดผลบวก ต่อการดำเนินงานของ TVO(FV@B35) อาจเด่นน้อยกว่า Soft Commodities ประเภทอื่น โดยฝ่ายวิจัยชอบกลุ่มไก่และสุกร อย่าง GFPT (FV@B17) TFG (FV@B6) และ CPF (FV@B32) รวมทั้งกลุ่มน้ำตาลอย่าง KSL(FV@B4.50) มากกว่า

บล.เอเชียพลัส คาดกนง. คงดอกเบี้ยในวันนี้ที่ 0.5%  แต่อาจเห็นโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นในอนาคต

วันนี้ (8 มิ.ย.) นักลงทุนรอติดตามดูผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เวลา 14.00 น. โดยตลาดคาดว่า รอบนี้ยังมี การคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% แต่นักลงทุนต้องรอดูผลลัพธ์ว่าจะมีมติเป็นเอกฉันท์หรือไม่? รวมถึงมุมมองทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงถัดไปจะเป็นอย่างไร?

อย่างไรก็ตามในมุมมองของฝ่ายวิจัยฯ คาดว่ามีโอกาสเห็น กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น ในช่วงที่เหลือของปี ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อเดือน พ.ค. 65 ยังเร่งตัวขึ้นถึง 7.1%yoy สูงสุดใน รอบ 13 ปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโซนอ่อนค่า ล่าสุดอยู่ที่ 34.46 บาท/เหรียญ (เพิ่มขึ้นมา 3.86% ytd)

ทำให้เชื่อว่า กนง. มีโอกาสที่จะออกมาตรการ เพิ่มเติม เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ พร้อมกับรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท ในช่วงที่เหลือปี ขณะเดียวกันนักลงทุนเองก็มีมุมมองเห็นว่ากนง.มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นเช่นกัน สะท้อนจาก Bond Yield 1 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.66% สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ถึง 15 bps.

ดังนั้นทั้งโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยที่มากขึ้น รวมถึง Spread หรือส่วนต่างดอกเบี้ยไทย และสหรัฐที่มีโอกาสถูกทิ้งห่างมากขึ้น ล้วนกดดันให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยจากนัก ลงทุนต่างชาติ หรือ Fund Flow มีโอกาสชะลอลงในช่วงถัดไป

SET Index น่าจะผันผวนอยู่ในกรอบ 1625 – 1645 จุด พอร์ตจำลองให้ สลับหุ้น PLANB น้ำหนัก 5% มาเป็นหุ้น KSL ส่วนการถือครองเงินสดสำรองยังคงไว้ที่ 10% ตามเดิม หุ้น Top Pick เลือก CENTEL, KSL และ TFG

ติดต่อโฆษณา!