ตลาดคริปโตทรุดหนัก นักลงทุนเทขาย stETH หวั่นซ้ำรอย Terra มูลค่าตลาดรวมคริปโทรวมเหลือเพียง 1.08 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ
Highlight
สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกแดงเดือดทุกกระดาน ความเสี่ยงสูงลงเยอะ อย่างเช่นคริปโท ตลาดหุ้นล่วงหน้า และตลาดหุ้นสามัญก็ต้านไม่อยู่ ความหวาดวิตกเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐหลังล่าสุดสูงถึง 8.6% จับตาการประชุม FOMC กลางเดือนนี้ เป็นตัวชี้ชะตา จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงขนาดไหน สินทรัพย์ที่มีความเปราะบางอย่างคริปโทและหุ้นเติบโตสูงได้รับผลกระทบหนัก StETH เหรียญใหญ่เบอร์ต้นๆ ถูกเทขายหนักราคาทรุดในรอบ 2 ปี นักเทรดฟิวเจอร์เจ็บหนัก! โดนล้างพอร์ตรวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท
หลังตลาดร่วงแรงนักเทรดคริปโตโดนล้างพอร์ตกว่าแสนรายมูลค่ารวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท อ้างอิงจากข้อมูลของเว็บเทรดฟิวเจอร์และ Coinglass เว็บดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านักเทรดโดนล้างพอร์ตมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์ ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง
นักเทรดที่เปิด Long ถูกล้างพอร์ตไปมูลค่า 433 ล้านดอลลาร์ใน 1 วัน และเสียในการเปิด Short ไปมูลค่า 86 ล้านดอลลาร์ในเวลาเดียวกัน
จากข้อมูลของทาง Coinglass ทำให้เรารู้ว่า ในช่วงตลาดหมีนี้มีนักเทรด Ethereum ขาดทุนในช่วง 1 วันที่ผ่านไป 168,000 ETH หรือมูลค่าประมาณ 245 ล้านดอลลาร์
เหรียญที่นักเทรดสูญเสียเงินรุนแรงไม่แพ้กันก็คือเหรียญ Bitcoin จากข้อมูลของ Coinglass แสดงให้เห็นว่านักเทรด Bitcoin ขาดทุนไปกว่า 4,100 BTC ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 112.47 ดอลลาร์ ในเวลาเพียง 1 วัน ทาง Coinglass เปิดเผยว่า โดยรรวมแล้วมีนักเทรดล้างพอร์ตรวม 180,389 ราย ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง (ข้อมูล 12 มิ.ย. 2565)
ล่าสุดเมื่อเวลา 12.56 น.ของวันที่ 13 มิ.ย. 2565 บน platform เทรดของ Coingecko ราคา BTC อยู่ที่ราคา 25,320.91 ดอลลาร์ ซึ่งลดลงมามากกว่า 7.5% ในรอบ 24 ชั่วโมง
ด้าน ETH ลดลงเหลือ 1,329.12 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 7.8% ในรอบ 24 ชั่วโมง
กานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน Merkle Capital และ เลขาธิการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวถึง ETH/stETH ทำไมถึงลงแรงในช่วงนี้ว่า เหรียญที่อ้างอิงราคาตามอย่าง stETH ก็หลุด Peg หรือมูลค่าที่ตรึงไว้ ฟังดูมันค่อนข้างน่ากลัวแต่จริงๆมันอาจจะเป็นโอกาสดีของใครหลายคนได้
กานต์นิธิ อธิบายว่า Ethereum ในปัจจุบันเป็นเชนแบบ Proof-of-Work แต่ก็มีการรัน Beacon Chain ที่เป็น Proof-of-Stake คู่ขนานกันไป แผนในอนาคตจะมีการรวมเชนทั้งสองเรียกว่า The Merge (บางเจ้าเรียก ETH 2.0) ระบบ Proof-of-Stake นี้คาดว่าจะได้ใช้จริงประมาณสิ้นปี ซึ่ง Beacon Chain จำเป็นต้องใช้อย่างน้อย 32 ETH (1.7 ล้านบาท) ในการตั้งตัวเป็น Validator Nodes ซึ่งมันต้นทุนสูงมากๆ
ดังนั้นจึงมีแพลตฟอร์มอย่าง Lido ที่ตั้งตัวเป็นจุดรวบรวม ETH ให้ครบแล้วเป็น Node ให้ ดังนั้นใครมีเท่าไหร่ก็สามารถฝากผ่าน Lido แล้วได้รับ Staking Rewards แทบจะไม่ต่างกันเลย โดยผู้ฝากจะได้ตั๋วแลกคืนที่ชื่อว่า stETH (staked ETH) ในอัตรา 1:1 เข้ามาในกระเป๋าและจะแลกคืนได้เมื่อเสร็จสิ้น The Merge และทาง Beacon Chain เปิดให้แลกคืนได้ (ยังไม่กำหนดว่าวันไหน)
ดังนั้น stETH จึงมีข้อดีกว่า ETH คือได้รับ Staking Reward ประมาณ 4% ต่อปีและสามารถนำไปวางค้ำใน Aave อีกทอดหนึ่งได้ (Double-Spending)
ในขณะที่ข้อเสียคือไม่สามารถแลกคืนเป็น ETH ได้จนกว่า Beacon Chain จะอนุญาต ใครที่มี stETH แล้วต้องการแลกกลับเป็น ETH จำเป็นต้องนำไปขายในตลาดรองเช่น Curve, Uniswap, 1Inch เป็นต้น และยังมีความเสี่ยงอื่นๆเช่น Smart Contract Risk ของ Lido หรือ Bug ของ Beacon Chain แลกกับความเสี่ยงเหล่านี้ ทำให้ในตลาดให้อัตราแลกเปลี่ยน stETH เป็น ETH อยู่ 0.96-1 ETH เสมอเพราะต้องชดเชยการขาดสภาพคล่อง (Illiquid) และความเสี่ยงเรื่องอื่นๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อคืน (12-มิ.ย.)ที่ stETH มูลค่าเหลือ 0.94 ETH แล้วตอนนี้เด้งกลับมาประมาณ 0.96 ETH ตามราคาใน Curve จึงไม่ใช่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่คน Panic กันมากคือเรื่องเหล่านี้คือ
•Alameda กองทุนของ FTX ได้ทำการเทขาย 50,615 stETH (3พันล้านบาท) เป็น ETH บน Curve ในราคาขาดทุน เหตุผลเบื้องหลังยังไม่ทราบแน่ชัดแต่ทำให้ตลาด Panic เพราะคิดว่ากลุ่ม Smart Money เหล่านี้น่าจะรู้อะไรเยอะกว่าจึงเทขาย stETH ตาม แรงขาย stETH ที่เพิ่มเข้ามาทำให้สัดส่วน ETH-stETH ใร Curve จาก 50:50 กลายเป็น 20:80 ทันที แสดงถึงแรงขายที่มหาศาล ปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่ 24:76 ยังน่าเป็นห่วงอยู่
•นอกจากตัวเลข CPI ออกมาสูงกว่าคาดจะทำให้ตลาดตกหนัก ความ Panic นี้เป็นอีกแรงกดดันทำให้ ETH โดนเทขายมากกว่าเดิมจนราคาตกมากกว่าค่าเฉลี่ยในตลาดเลยด้วยซ้ำ
•สิ่งที่ตอนนี้ทุกคนกลัวคือ ราคา stETH จะตกไปถึงเท่าไหร่ เพราะ Celsius บริษัทด้านคริปโทฯมีการใช้ stETH ของตัวเองในการค้ำเพื่อกู้ Stablecoin ด้วย หากราคา stETH ตกจน Celsius โดนบังคับขาย stETH ทอดตลาด (Liquidation) เพื่อกลับมาเป็น Stablecoin คืนผู้ปล่อยกู้ ตอนนั้นเชื่อได้เลยว่า stETH จะตกได้มากอีกนี้อีกเยอะจนสะกิดให้เกิดการบังคับขายแบบโดมิโนไปอีกเยอะแน่ (Cascading Liquidation)
ดังนั้น โดยสรุปแล้วราคา ETH ที่ตกหนักอาจจะเป็นการตกตามตลาดและมี Panic จากเหตุการณ์ stETH หลุด Peg อีกด้วย นักลงทุนที่เชื่อมั่นใน ETH อาจจะเห็นเป็นโอกาสดีในการช้อน stETH ในราคาส่วนลดก็ได้ หรือใครที่ต้องการลดความเสี่ยง การถอยออกมาทั้ง ETH และ stETH ก็เป็นความคิดที่ไม่แปลกเลย ดังนั้นเชื่อมั่นในแผนของตัวเองแล้วลงทุนตามนั้นครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคน กานต์นิธิกล่าว
ด้าน Siam blockchain เว็ปไซต์ด้านความรู้และการลงทุนคริปโทเคอเรนซี มีความเห็นว่า ถึงในจุดนี้เราก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้นั้นอยู่ในช่วงภาวะถดถอยอย่างมาก กระทบไปหมดทั้งเศรษฐกิจโลกและในช่วงนี้ก็ถือเป็นช่วงที่นักลงทุนตลาดคริปโตทั้งหลายอาจอยู่ในช่วงหวาดกลัว
วันนี้ราคา Bitcoin ยังคงร่วงต่ออย่างรุนแรง โดยล่าสุดในวันนี้ราคา Bitcoin ได้แตะในระดับราคา $25,680 แล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยราคาดังกล่าวถือเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบ 18 เดือนนับตั้งแต่ เดือนธันวาคม ปี 2020
โดยในช่วงวันที่ 26 ธันวาคม ปี 2020 ราคา Bitcoin มีระดับต่ำสุดอยู่ที่ราคา $24,212 หลังจากนั้นราคาก็ได้พุ่งตัวอย่างรุนแรงไปจนในช่วงราคา $40,000 ในระยะ 1 เดือนนับจากวันนั้น หากดูจากราคาตอนนี้ที่ราคา $25,680 แล้วนั้นเรียกได้ว่าราคา Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงน่าเป็นห่วงอย่างมากเลยทีเดียว
โดยเหตุผลของการร่วงลงของราคา Bitcoin ในครั้งนี้ยังไม่แน่ชัด แต่มีความเป็นไปได้ที่สาเหตุการร่วงลงของ Bitcoin อาจจะเกิดมาจากการที่ Fed เตรียมตัวจะประกาศการดอกเบี้ยเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
โดยเหตุการณ์นั้นอาจจะรวมถึงการที่ประเทศจีนได้ทำการกลับมาล็อคดาวน์อีกครั้งเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศจีนซึ่งการล็อคดาวน์ทำเกิด ภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้ง อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ stagflation ซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
และยังคงต่อเนื่องสำหรับสถานการณ์สงครามระหว่าง รัซเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อก็ได้ส่งผลทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อ อาจจะส่งผลโดยตรงต่อราคาตลาดคริปโต เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยังคงส่งผลโดยตรงต่อราคาคริปโต ดังนั้นต้องรอดูไปว่าผู้ทรงอิทธิพลด้านคริปโตทั้งหลายที่เคยออกมาบอกว่า Bitcoin จะสามารถลอยตัวอยู่เหนือเงินเฟ้อได้นั้นจะเป็นไปได้หรือใหม่ในช่วงวิกฤตในครั้งนี้
กราฟ BTCUSD จาก TradingView เผยให้เห็นว่าราคาของ Bitcoin นั้นได้มีการร่วงลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบเดือนมิถุนายนนี้ที่ 26,400 ดอลลาร์บนเว็บไซต์ Bitstamp ในขณะที่ Bitkub นั้นเหลืออยู่ที่ 920,188 บาท และ Bitazza อยู่ที่ 920,021 บาท ไม่ห่างกันมากเท่าไรนัก
ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุที่แน่ชัดของการร่วงลงของราคาในครั้งนี้ แต่เป็นที่คาดการณ์ว่าอาจเกิดจากความกลัวในการเทขายของนักเทรดที่มีขึ้นก่อนการประชุม FOMC ของ Fed ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14-15 ที่จะถึงนี้ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาดมีความผันผวนสูงขนาดนี้
อีกหลาย ๆ ปัจจัยที่เกิดขึ้นนั้นก็คาดว่าน่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตลาดคริปโตและตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในเดือนที่แล้วถึง 8.6% ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ร่วงอย่างรุนแรง และนำพาตลาดคริปโตให้ลงไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าอัตราการร่วงของตลาดหุ้นนั้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าก็ตาม
การปรับฐานของตลาดคริปโตถือเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น และถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาอย่างมาก หากผู้ที่เคยผ่านปี 2017 มาแล้วก็จะสามารถเข้าใจภาพรวมของมันได้ดี ซึ่งเราก็ต้องรอดูกันต่อไป
ภาพจำนักลงทุนอาจกังวลคล้ายกับช่วง LUNA และ Terra Chain จึงเทขายตัดความเสี่ยง และต้องติดตามกันต่อไป ทั้งนี้กูรูคริปโทหลายคนได้เตือนให้ลงทุนด้วยความระมัดระวังในช่วงนี้
ด้านตลาดหุ้นไทย วันนี้ เมื่อเวลา 13.15 น. (13 มิ.ย. 65) ปรับตัวลดลง 22.65 จุด อยู่ที่ 1,609.65 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39,409.84 ล้านบาท