ท่องเที่ยวเฮ! จีนเริ่มปลดล็อก ลุ้นมาไทย 4 ล้านคนปีนี้ คาดเริ่มต้นจากช่วง Golden Week เดือน ต.ค.
Highlight
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย ปีนี้ราว 4 ล้านคน เริ่มต้นจากช่วงโกลเด้นวีค เดือนตุลาคมนี้ หลังประเทศจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ภาครัฐ ร่วมกับภาคเอกชน เอเจนต์-สายการบินผนึกกำลังพร้อมจัดโปรโมชั่นกระตุ้นต่างชาติ คาดยอดใช้จ่ายต่อคนอยู่ที่ 6.1 หมื่นบาท สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยเริ่มสดใสขึ้น
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า หลังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน เปิดให้สายการบินสัญชาติไทยบินระหว่างประเทศไทยและจีนได้ 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ได้เปิดเส้นทางบินตรงไทย – จีนทันที โดยรัฐบาลจีนอนุญาตให้ทำการบินได้เฉพาะจีนตอนใต้ อาทิ กว่างตง, เซินเจิ้น, กว่างโจว, หูหนาน แล้ว
โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดหวังจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวจีนทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทย ในช่วง “วันชาติจีน” หรือ GOLDEN WEEK วันที่ 1 ตุลาคม 2565 นี้ โดยอาจเริ่มจากนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว, และนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (F.I.T.) ที่เดินทางผ่านด่านทางบกเข้ามาทางเชียงราย, เชียงใหม่ ฯลฯ มากกว่าการเดินทางทางอากาศ เนื่องจากจีนตอนใต้มีพรมแดนธรรมชาติติดไทยมากกว่าจีนตอนบน คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนทั้งปี 2565 จะมีจำนวน 3-4 ล้านคน
ทั้งนี้สำนักงานการท่องเที่ยวไทยในจีน ได้ร่วมกับเอเจนต์ และบริษัททัวร์ในจีน ออกแบบแพ็กเกจทัวร์ที่อาจพิจารณาบรรจุการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ก่อนกลับจีน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการเดินทางมาเที่ยวไทยจะไม่มีการนำเชื้อเข้าไปแพร่กระจายในประเทศจีน และเตรียมรองรับนักท่องเที่ยวจีนที่จะสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้มากขึ้นในปี 2566
แต่เบื้องต้นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. ยังคงเป้าไว้ที่ 10 ล้านคนในปี 2565 แต่ได้พิจารณาจัดกิจกรรมและร่วมกับภาคเอกชนจัดโปรแกรม โดยล่าสุดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวต่อวันอยู่ที่ 6.1 หมื่นบาท สูงกว่าช่วงปี 2562 ที่ใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวต่อวันที่ประมาณ 4.8 หมื่นบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้อำนาจในการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น
จีนเปิดประเทศปีหน้า
ด้านดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กล่าวคาดการณ์เบื้องต้นว่ารัฐบาลจีนจะเริ่มเปิดประเทศในเดือนมกราคม 2566 และคาดหวังจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 (เทศกาลตรุษจีน) จึงจะเป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดปี 2566 (ต.ค.65-ก.ย.66) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
แต่หากจีนไม่เปิดประเทศตั้งแต่ต้นปี 2566 ก่อนตรุษจีน ปริมาณผู้โดยสารที่เข้ามาใช้ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทก็จะอยู่ที่ประมาณ 95.70 ล้านคน แบ่งเป็นผู้โดยสารต่างประเทศประมาณ 48.48 ล้านคน และในประเทศประมาณ 47.22 ล้านคน ฟื้นตัวประมาณ 68% เมื่อเทียบกับปี 2562
แต่อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในช่วงปลายปี 2566 ปริมาณนักท่องเที่ยวก็น่าจะใกล้เคียง 100%
ส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่การบิน (Non-Aero) ก็จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหนุนจากมาตรการช่วยเหลือผู้เช่าพื้นที่ที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2566 รวมถึงการส่งมอบพื้นที่ภายในอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ให้กับกลุ่มคิงเพาเวอร์ ภายใต้สัญญาส่วนแบ่งรายได้จะผันแปรกับจำนวนผู้โดยสาร เบื้องต้นว่า กลุ่มธุรกิจ Non-Aero จะเร่งตัวขึ้นมาในสัดส่วนประมาณ 50% ของรายได้รวมจากปัจจุบันที่ประมาณ 40% ของรายได้รวม
ธุรกิจโรงแรม สนามบินได้ประโยชน์ CENTEL, ERW, AOT
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่ม Reopening ทั้งโรงแรม, สายการบิน ปรับขึ้นตอบรับข่าวบวก กรณีจีนลดจำนวนวันกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศลงจาก 3 สัปดาห์ (ประมาณ 21-25 วัน) ลงเหลือ 10 วัน เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจีนได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว
เบื้องต้นยังคงต้องติดตามปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2565 เป็นต้นไป และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 เป็นปัจจัยหนุนรายได้ในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งกลุ่ม โดยก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าปีละกว่า 11 ล้านคนหรือกว่า 25% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในปี 2562 ที่ประมาณ 39.7 ล้านคน จึงแนะนำ “ซื้อ” CENTEL, ERW, AAV, SPA และแนะนำ “ถือ” AOT
ธุรกิจค้าปลีกเริ่มสดใส
นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจแม็คโคร กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัว ตามข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ระบุว่าภาพรวมมูลค่าธุรกิจค้าปลีกในปี 65 จะกลับมาขยายตัวอยู่ที่ 11% จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม และจัดเลี้ยง (HoReCa) ขณะเดียวกันช่องทางการขายผ่านออนไลน์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
จากทิศทางการฟื้นตัวดังกล่าว กลุ่มธุรกิจแม็คโครจึงเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของเอเชีย โดยได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ด้าน ประกอบด้วย การขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รองรับการขยายตัวของชุมชนและธุรกิจร้านอาหารที่กำลังกลับมาฟื้นตัว ส่วนในต่างประเทศมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก ปัจจุบัน แม็คโครมีสาขาในต่างประเทศรวม 7 สาขา ใน กัมพูชา, เมียนมา, อินเดีย และ จีน
สำหรับยุทธศาสตร์ที่สอง คือการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายในรูปแบบ Omni Channel เชื่อมโยงระหว่างออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) อย่างครบวงจร ผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น MakroClick และ maknet ซึ่งเป็น B2B Marketplace หรือตลาดค้าส่งออนไลน์ที่ครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยเพิ่มทีมงานคนรุ่นใหม่
ยุทธศาสตร์ที่ 3 คือการพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาส เพื่อเอสเอ็มอีและเกษตรกรรายย่อย ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืน ด้วยการพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้แข็งแกร่ง เติบโตมีรายได้ที่มั่นคง โดยสนับสนุนตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ ตลอดจนเป็นช่องทางจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันแม็คโครสนับสนุนเอสเอ็มอีและเกษตรกรกว่า 20,000 ราย และส่งออกสินค้าเอสเอ็มอีไทยไปสู่สาขาแม็คโครในต่างประเทศแล้วกว่า 300 รายการ