เงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่ง 9.1% คุมไม่อยู่ คาด Fed ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75%
Highlight
สหรัฐรายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 9.1% จากระยะเดียวกันของปีก่อน สูงกว่า 8.8% ที่นักวิเคราะห์คาดและสูงสุดในรอบ 40 ปี นักวิเคราะห์คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% หรือ 1% ในรอบถัดไป ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ธนาคารกลางหลายประเทศทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นตาม คาดว่าส่งผลกระทบต่อค่าเงินผันผวนและเงินทุนไหลออกโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ ตลาดหุ้นโลกผันผวน และกำลังเข้าสู่ภาวะตลาดหมี คาดดอกเบี้ยไม่เพิ่มมากเนื่องจากมีบริบทที่แตกต่างจากประเทศอื่น
กระทรวงแรงงานรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 9.1% จากระยะเดียวกันของปีก่อน สูงกว่า 8.8% ที่นักวิเคราะห์คาดและเป็นการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบรายปีมากสุดนับตั้งแต่ปี 1981
เมื่อเทียบรายเดือนเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.3% จากเดือนพฤษภาคม โดยค่าใช้จ่ายด้านพลังงานคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นรายเดือน
เงินเฟ้อพื้นฐาน ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 5.9% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบรายเดือน
ค่าจ้างเฉลี่ยในเดือนมิถุนายนสูงกว่าปีที่แล้ว 5.1% แต่เงินเฟ้อกลับขึ้นเร็วกว่า กระทบกำลังซื้อของคน
เงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นทำให้เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์เช่นกัน
ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐตกใจ ดัชนีดาวโจนส์ลงแรงมากกว่า 300 จุด ก่อนกระเตื้องขึ้นมาติดลบ 100 จุด ณ เวลาประมาณ 23.33 น. ตามเวลาประเทศไทย วันที่ 13 ก.ค.2565
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้า ของวันที่ 14 ก.ค.ขยับขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุน หลังจากที่ร่วงลงเนื่องจากความกังวลว่า Fed อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่รุนแรงขึ้น และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด
- ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 26,664.20 จุด เพิ่มขึ้น43 จุด หรือ +0.70%,
- ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 20,848.28 จุด เพิ่มขึ้น33 จุด หรือ +0.24% และ
- ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,294.50 จุด เพิ่มขึ้น21 จุด หรือ +0.31%
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยภาคเช้าวันนี้ ปิดที่ 1,544.21 จุด ลดลง 2.59 จุด หรือ -0.17% มูลค่าการซื้อขายรวม 30,513.67 ล้านบาท
ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ยังประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 3.25% ในการประชุมวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมเงินเฟ้อ การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแบงก์ชาติฟิลิปปินส์ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณความพร้อมที่จะดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
ด้านธนาคารกลางแคนาดาประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1% สู่ระดับ 2.5% ในการประชุมเมื่อวันพุธ (13 ก.ค.) โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมเงินเฟ้อ พร้อมกับเตือนว่า ธนาคารกลางอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในวันข้างหน้า
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ยังเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2541 และอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย คาดตลาดหุ้นกำลังเข้าสู่ภาวะหมี สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3% ในปีนี้
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่เพิ่มขึ้นถึง 9.1% และเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 1.3% เป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องเพิ่มดอกเบี้ยสูงขึ้น และเร็วขึ้น
โดยผลสำรวจ Fed Fund Futures จากนักลงทุนประมาณ 67% หรือ ราว 2/3 คาดการณ์ว่า Fed อาจปรับดอกเบี้ย 1% ในรอบถัดไป หรืออย่างน้อย 0.75%
ดร.กอบศักดิ์ คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะปรับขึ้นสูงสุดในช่วงไตรมาสที่ 3/65 และการขึ้นดอกเบี้ยเพียง 3% ไม่เพียงพอต่อการคุมเงินเฟ้อที่สูงถึง 9.1% ในปัจจุบัน ดังนั้น Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเรื่อยๆ และคาดว่าในไตรมาสที่ 4/65 น่าจะคลี่คลายลง
การปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรงของ Fed จะส่งผลกระทบให้ตลาดเกิดใหม่หลายแห่งทั่วโลกผันผวนอย่างหนักและอาจ ประสบปัญหาเศรษฐกิจได้ เช่นประเทศศรีลังกา และอีกหลายประเทศที่เริ่มมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าทำให้ บาทยังคงอ่อนค่าได้อีก แต่มีบางภาคธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ เช่น การท่องเที่ยว ส่งออก และภาคเกษตร ซึ่งภาคท่องเที่ยวไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลังอย่างระมัดระวังอยู่แล้ว หากมีการเตรียมรับมือที่ดี เราจะผ่านจุดนี้ไปได้ ดร. กอบศักดิ์กล่าว
สิ่งไม่แน่นอน และอยู่นอกเหนือการควบคุมคือ คือภาวะสงคราม ที่ยังคงคาดเดาอนาคตไม่ได้ ทั้งนี้หากรัสเซียปิดท่อก๊าซและน้ำมันให้ยุโรปในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจและราคาพลังงานเลวร้ายขึ้น และกดดันภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเพิ่มขึ้น
“ช่วงนี้แนะนำนักลงทุน ต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง และต้องเก็บรักษาเงินต้นไว้ เมื่อแนวโน้มสถานการณ์ดีขึ้น นักลงทุนจะสามารถลงทุนเพื่อทำกำไรในช่วงที่สถานการณ์คลี่คลายได้” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market ใกล้เข้ามาแล้ว จากสถิติในอดีตพบว่า ถ้าหากเศรษฐกิจเกิดภาวะ Recession การฟื้นตัวกลับมาจะใช้เวลาประมาณ 40 เดือน
แต่ 6 เดือนหลังจากเกิดภาวะหมี ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวกลับมาบางส่วน และภายใน 1 ปีจะฟื้นตัวกลับมาทั้งหมด
ในช่วงนี้ทุกอย่างกำลังเข้าสู่าวะถดถอย นักลงทุนไม่จำเป็นต้องลงทุนทุกวัน และควรเผื่อกระสุนไว้ลงทุนในช่วงที่หุ้นพื้นฐานดี ราคา รอจังหวะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนเช่นอัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง จาก 8-9% ในปัจจุบัน เหลือ 3-4% ซึ่งเป็นจังหวะและโอกาสที่ดี และจากนั้นติดตามสถานการณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะควบคุมเงินเฟ้อในเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2%
อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกหลายบริษัท โดยราคาลดลง 50-70% เนื่องจากต่างชาติ นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตการลงทุน และขายหุ้นออก
สำหรับปัจจุบัน เรียกได้ว่า เป็นช่วง Perfect Strom เป็นครั้งแรกที่เห็นตลาด Nasdag ลดลงต่ำเป็นประวัติการณ์ในรอบ 6 เดือน
Fetco ขอรัฐเว้นจัดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นในช่วงวิกฤต เตรียมแผนนำบริษัทจดทะเบียนในตลาด เพิ่มภาษีให้รัฐทางอ้อม
ดร.กอบศักดิ์กล่าวอีกว่า ยังไม่เห็นด้วยกับนโยบายการจัดเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว และตลาดหุ้นผันผวนหนักจากนโยบายขึ้นดอกเบี้ยของ Fed หากมีเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ จากภาวะสงคราม เพิ่มเติมทำให้ตลาดหุ้นตกอยู่ในภาวะคับขัน การจัดเก็บภาษีจะเป็นการซ้ำเติมตลาดให้มีสภาพคล่องน้อยลง และเพิ่มต้นทุนให้กับนักลงทุน
เรื่องภาษีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และลดการลงทุน และทำให้ประสิทธิภาพการแข่งขันตลาดทุนไทยลดลง
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า Fetco และตลาดทุนมีแผนให้ความร่วมมือกับทางกระทรวงการคลังในการเพิ่มรายได้ทางภาษี เพื่อชดเชยกับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีกำไรจากการซื้อ-ขายหุ้น โดยการเร่งการขยายฐานบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่าบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น มีการจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น 3 เท่าหลังจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นเวลา 3 ปี หากมีบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ก็ทำให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นในอนาคต