09 สิงหาคม 2565
2,144

GPSC แจงกำไร Q2/65 กำไรพุ่ง 118% เน้นคุมต้นทุน อานิสงส์ค่า Ft ปรับขึ้น

GPSC แจงกำไร Q2/65 กำไรพุ่ง 118% เน้นคุมต้นทุน อานิสงส์ค่า Ft ปรับขึ้น
Highlight

GPSC  โชว์กำไรสุทธิไตรมาส 2/65 โตเพิ่มขึ้น 118% จากไตรมาส 1 ชี้ปัจจัยบวกผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการเร่งเพิ่มประสิทธิภาพแผนการผลิต การบริหารจัดการต้นทุนทุกหน่วย เพื่อรับมือกับสถาณการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูง บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้าระบุ GPSC พ้นจุดต่ำสุด ครึ่งปีหลังแนวโน้มสดใส และกำไีรเติบโตดีในปีหน้า


20220809-a-01.jpg

นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 27,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบไตรมาสแรกของปี 2565 (QoQ) ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118%

ผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2565 มาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี และผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่เพิ่มขึ้น จากอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) ที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน และการรับรู้กำไรจากการขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ให้แก่ บริษัท นูออโว พลัส จำกัด

นอกจากนี้ ยังมีการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงานระยะที่ 5 ที่สามารถกลับมาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าและไอน้ำได้ตามปกติ จึงส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 2 ขณะเดียวกัน กำไรขั้นต้นของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) มีการปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุมาจากไตรมาส 2/2565 โรงไฟฟ้าเก็คโค่วันมีการหยุดซ่อมบำรุงนอกแผนลดลง

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2565 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีกำไรสุทธิลดลง 70% ปัจจัยจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้กำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง  และมีปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำลดลงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในส่วนของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) เพิ่มขึ้น จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น ตามแผนการเรียกรับไฟฟ้าของ กฟผ. ทำให้มีรายได้จากค่าพลังงานไฟฟ้า (EP) เพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการผลิตโดยใช้เชื้อเพลิงน้ำมันดีเซลแทนก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีเพิ่มขึ้น จากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ ความคืบหน้าของการ Synergy ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้มูลค่าจากการควบรวบกิจการสุทธิหลังภาษีมูลค่า 561 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2565 จากการจัดการการผลิตและการใช้โครงข่ายไอน้ำร่วมกันที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารการพาณิชย์ด้านต้นทุนการผลิต การขยายฐานลูกค้า การบริหารจัดการเรื่องหุ้นกู้ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้

“จากราคาค่าเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งแรกของปี บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อการบริหารจัดการ รวมถึงการวางแผนและให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต รวมทั้งวางแผนการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำเป็นอันดับแรก ” นายวรวัฒน์กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 จะเริ่มคลี่คลาย บริษัทฯ ยังคงติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญในมาตรการควบคุมและป้องกันการติดเชื้ออย่างเข้มข้น เพื่อให้การผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคมีเสถียรภาพ เพื่อการส่งมอบลูกค้าให้เป็นไปตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง  

ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2565 จากร้อยละ 3.2 ในเดือนมีนาคม 2565 เป็นร้อยละ 3.3 โดยมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2565 มาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจากการผ่อนคลายมาตรการเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ยังต้องติดตามปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากระดับราคาพลังงาน ราคาสินค้า และค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นค่า Ft งวดเดือนกันยายน-เดือนธันวาคม 2565

บทวิเคราะห์หยวนต้าชี้ พ้นจุดต่ำสุดครึ่งปีหลังสดใส

บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้าระบุว่า ทิศทางครึ่งปีหลังทยอยดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าต้นทุนเชื้อเพลิงธรรมชาติ-ถ่านหินจะอยู่ระดับสูงเทียบกับในอดีต

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า 1) ราคาพลังงานดังกล่าวผ่านระดับสูงสุดไปแล้วและจะมีทิศทางลดลงสวนทางการทยอยขึ้นค่าไฟฟ้า Ft (คาดงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 68 สตางค์/หน่วย) ส่งผลให้ GPM จะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง 2)ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น HoH หนุนด้วยการเข้าสู่ High season ของปริมาณน้ำในลาวช่วง Q/65 ทำให้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าเขื่อนไซยะบุรีสูงขึ้น 3) การผลิตไฟห้าเต็มที่ของ Glow Energy Phase 5 และ Gheco1หลังผ่านการปิดซ่อมบำรุงในช่วงครึ่งปีแรก 65 มาแล้ว 4) กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชยข์ ของโครงการ SPP replacement 4Q65 และการทยอย COD ของ Avaada ราว 1 GW 5) เงินเคลมประกันภัย ของเหตุการณ์ Unplanned Shutdown 6-7 ร้อยล้านบาท (หลังหักภาษี)

ปรับประมาณการให้รัดกุมขึ้น

หยวนต้าปรับสมมุติฐานให้รัดกุมขึ้นสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงครึ่งแรกปี 65 ที่สูงกว่าคาดและการปิดซ่อมบำรุงนอกแผนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ประมาณการกำไรสทุธิ ปี 2565–2566  ลดลง 17% เป็น 4.2 พันล้านบาท (-43% YoY) และลดลง 4% เป็น 7.1 พันล้านบาท (+71%YoY) ตามลำดับ

พร้อมรับ Theme Anti-Commodities และ Defensive Stock

บทวิเคราะห์ชี้ว่า ผลประกอบการของ GPSC ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก หากมองข้ามไปช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นการทยอยฟื้นตัวจากฐานต่ำอย่างมีนัยสำคัญ  ดังนั้นเพื่อสะท้อนมุมมองข้างต้น “เรา Roll-overไปใช้ ราคาเหมาะสมใหม่ ณ สิ้นปี 2566 ที่ 76.00 บาท เพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” กรณีหุ้นปรับลดลงจากงบ 2Q65 ท่ีอ่อนแอหรือถูกตลาด Downgrade กำไรปีนี้เรามองเป็นจังหวะทยอยสะสม” นักวิเคราะห์ ระบุ

สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยมีหุ้นจุดเด่นจากการเป็น Utilities Flagship ของเครือ PTT, การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน- แบตเตอรี่ซึ่งเป็น Trend ในอนาคต, ได้ประโยชน์จากการพักฐานของราคาพลังงานช่วง 2H65 (Anti-Commodities Theme) และกระทบจำกัดจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ (Defensive Theme)

ที่มา : GPSC Press Release, บทวิเคราะห์ บล.หยวนต้า

ติดต่อโฆษณา!