เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 1.8 แสนล้านบาท สูงสุดในภูมิภาค ไม่สนการเมืองเปลี่ยนแปลง
Highlight
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเผยเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสุทธิราว 1.8 แสนล้านบาทนับจากต้นปี ซึ่งเป็นการไหลเข้ามากที่สุดในรอบ 3 ปีหลังจากบริษัทจดทะเบียนไทยโชว์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/65 สูงเป็นประวัติการณ์ และมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวและบริการได้ในครึ่งปีหลัง ด้านกระทรวงการคลังคาดจีดีพีเติบโตต่อ 3.5%ในปีนี้ ส่วนปัจจัยการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีแทบไม่มีผลอะไรต่อการลงทุน เพราะเชื่อว่านโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดตลาดช่วงเช้า
นายภากร ปิตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ จะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ว่าปัจจัยการเมืองกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯไม่มาก เนื่องนักลงทุนสถาบัน มุ่งเน้นเรื่องการสานต่อนโยบายเศรษฐกิจ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไปต่อเนื่อง และโดยปกติแล้วนโยบายด้านเศรษฐกิจและการเงินจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้นำก็ตาม
ทั้งนี้กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน เงินทุนไหลซื้อสุทธิจากต่างชาติสูงถึง 1.80 แสนล้านบาท สูงสุดในภูมิภาค ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 2/65 ออกมาค่อนข้างสูง แนวโน้มครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นประเทศไทย โดยเฉพาะความมั่นคงทางการเงิน และการคลัง ขณะที่ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยก็คาดว่าจะอยู่ในระดับเป้าหมายที่ 3-3.5% และมีโอกาสขยายตัวได้ถึง 3.5% หากการส่งออก และการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีในครึ่งปีหลัง
“ครึ่งปีแรก จีดีพีเราโต 2-5% ฉะนั้น การที่จะให้จีดีพีโตได้ 3-3.5% นั้นเป็นไปได้ โดยปัจจัยด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกจะเข้ามาสนับสนุนจีดีพีของเราให้เติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ในแง่การส่งออกนั้น เท่าที่คุยกับสภาธุรกิจส่งออก ตัวเลขเป้าหมายเขาอยู่ที่ 7% ก็ขอให้ขยับไปที่ 10% เขาก็รับปากว่าจะพยายาม”นายอาคมกล่าว
บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส เผยผ่านบทวิเคราะห์ ระบุว่า ผลกระทบจากด้านการเมืองมีไม่มากยังไม่มีความรุนแรงใดๆ และยังมีกระบวนการต่อจากนี้ที่ชัดเจนจนไม่นำไปสู่ทางตันทางการเมือง แต่หลังจากที่ศาลวินิจฉัยออกมาแล้ว คาดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาแล้วเสร็จภายในเดือนก.ย นี้ ก็ต้องมาพิจารณาทิศทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่เรื่องประเด็นเงินเฟ้อ ยังมีหลายปัจจัยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวระดับสูง ทั้งภาวะขาดแคลนสินค้า ในกลุ่มเชื้อเพลิง ผลิตภัณฑทางการเกษตร และอาหาร ส่งผลให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของธนาคารกลางยังคงดำเนินต่อไปในหลายประเทศในระยะสั้น แต่ระยะถัดไปอาจมีการขึ้นดอกเบี้นที่ค่อนเป็นค่อยไปมากขึ้น
ส่วนไทยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในปีนี้ รวมถึงเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว ต่างกับหลายประเทศที่พัฒนาแล้วเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นที่จับตามองของนักลงทุนต่างชาติ
เมื่อวานนี้ (24 ส.ค.65) นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องสุทธิ 1,708 ล้านบาท และเป็นการซื้อสุทธิติดต่อกันมาแล้ว 13 วันทำการ มูลค่ารวม 4.77 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมาพบว่าต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ สูงสุดในภูมิภาค 5,000 ล้านเหรียญ หรือราว 1.80 แสนล้านบาท และหากดูจากสัดส่วนการถือครองทางตรงของต่างชาติ ยังมีช่องว่างให้ซื้อสุทธิหุ้นไทยเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งปัจจุบันต่างชาติถือครองหุ้นไทยทางตรงเพียง 21.69% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติเคยถือครองหุ้นไทยสูงถึง 30.2% และโดยเฉลี่ยต่างชาติจะถือครองหุ้นไทยในสัดส่วน 26.2%
สำหรับกระแสเงินทุนไหลเข้าหรือ Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยได้อีก กลยุทธ์แนะนำหุ้นขนาดใหญ่สภาพคล่องสูง ที่มีกำไรมีแน้วโน้มเติบโตต่อเนื่อง CK, CRC, BEM, CENTEL, BH รวมถึงหุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มธนาคารและประกันภัย สำหรับความเคลื่อนไหวการลงทุนในวันนี้ SET Index เมื่อเวลา 11.50 น. อยู่ที่ 1,639.56 จุด เพิ่มขึ้น 8.01 จุด หรือ +0.49% มูลค่าการซื้อขายรวม 30,461.90 ล้านบาท หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรกคือ BH, AOT, PTTEP, KBANK, BANPU