ตลาดหุ้นปรับขึ้นคึกคัก คาดสหรัฐฯ ประกาศเงินเฟ้อลดลงวันพรุ่งนี้
Highlight
นักวิเคราะห์คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ตลาดหุ้นปรับขึ้นคึกคัก คาดสหรัฐฯ ประกาศเงินเฟ้อลดลงวันพรุ่งนี้ที่จะประกาศในคืนวันอังคารนี้จะขยายตัว +8% จากปีก่อน (YoY) และลดลง -0.1% จากเดือนก่อน (MoM) โดยหากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประกาศออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดหมายไว้ก็จะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับขึ้นได้และ Dollar Index มีโอกาสพลิกลงมาอ่อนค่าพร้อมกับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทย มองหุ้นขนาดใหญ่ได้ประโยชน์ อาทิ ธนาคาร พลังงาน รวมถึงค้าปลีก
ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นกว่า 10 จุดของภาคเช้าในวันนี้ รับ sentiment เชิงบวกจากต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นเอเชียบวกรับคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะชะลอลง และราคาน้ำมันดีดขึ้นหนุนกลุ่มพลังงาน ประกอบกับมีหุ้นใหม่เข้าเทรดในตลาด สร้างความึกคักช่วงต้นสัปดาห์
ตลาหุ้นไทย โดยดัชนี SET Index การซื้อขายภาคเช้า ปิดช่วงเวลา 12.30 น.ดัชนี SET Index เพิ่มขึ้น 13.54 จุด (+0.84%) มูลค่าการซื้อขาย 35,784.77 ล้านบาท
ทั้งนี้นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ และตลาดหุ้นเอเชีย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแรงซื้อเก็งกำไรกลับมาเข้ามาจากที่นักลงทุนคาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ย.) น่าจะเห็นสัญญาณชะลอตัว
โดยตลาดเช้านี้มีแรงซื้อหุ้น DELTA ปรับขึ้นมาต่อเนื่องซึ่งช่วยดันดัชนีขึ้น 1 จุด และมีแรงซื้อกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น 3.9% นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ (9 ก.ย.) ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1 พันล้านบาท ทำให้นักลงทุนคลายความกังวล
พร้อมให้แนวรับที่ 1,658 จุด แนวต้านแรกที่ 1,665 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,670 บาท
ด้าน บล.พาย (Pi) ระบุว่า สัปดาห์นี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ที่ 1,640-1,670 จุด เชิงกลยุทธ์การลงทุนหากตลาดหุ้นปรับขึ้นยังมองเป็นโอกาสลดพอร์ตมากกว่าจะไล่ราคาเนื่องจากระดับ Valuation ที่มิได้ถูกประกอบกับยังมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะทรงตัวสูงและดอกเบี้ยยังปรับขึ้นต่อ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น
ตลาดหุ้น Dow Jones ในวันศุกร์ปรับขึ้นราว 1.2% ในภาพรวมยังมิได้มีปัจจัยใดๆที่มีนัยสำคัญเป็นเพียงแรงซื้อปกติเท่านั้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 และ 10 ปียังคงปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นตัวสะท้อนถึงความกังวลเงินเฟ้อที่ยังมิจบลง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT พลิกกลับมาฟื้นตัวเด่น 4.1% หลักๆคล้ายว่านักลงทุนกลับมาให้กับปัจจัยอุปทานขาดแคลนหลังจากรัสเซียยังคงยืนยันที่จะระงับการส่งพลังงานให้กับชาติตะวันตก ระยะสั้นมองกลุ่มน้ำมันจะได้ประโยชน์ (PTTEP)
สัปดาห์นี้ปัจจัยหลักยังคงเน้นไปที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่มีกำหนดรายงานในคืนวันอังคาร Bloomberg Consensus คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือน ส.ค. จะขยายตัว +8%YoY , -0.1%MoM ทั้งนี้ หากพิจารณาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในภาพรวมของ Bloomberg Commodity (BCOM) พบว่าในเดือน ส.ค. ลดลง MoM ราว -0.2%MoM ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับที่ตลาดประเมินไว้
โดยหากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประกาศออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดหมายไว้ก็จะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับขึ้นได้และ Dollar Index มีโอกาสพลิกลงมาอ่อนค่าพร้อมกับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทย มองหุ้นขนาดใหญ่ได้ประโยชน์ อาทิ ธนาคาร พลังงาน รวมถึงค้าปลีก
Bloomberg คาดการณ์ตัวเลข PPI สหรัฐที่จะ ระกาศในวันพุธจะขยายตัว +8.8%YoY -0.1%MoM หากต่ำกว่าคาดก็จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้น ส่วนวันพฤหัสจะเน้นหลักไปที่ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ประกอบไปด้วย (1) ดัชนีภาคการผลิตรัฐนิวยอร์ก Bloomberg คาดการณ์ที่ -15 (2) ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ Bloomberg คาดจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน หากประกาศต่ำกว่าคาดการณ์ก็จะยิ่งทำให้ตลาดผ่อนคลายกับเงินเฟ้อ
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยตลาดหุ้นไทยหรือแม้กระทั่ง Dow Jones ปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดแล้ว 7.9% และ 7.6% ตามลำดับ ก็เชื่อว่าสะท้อนปัจจัยบวกเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปพอสมควร ดังนั้นมิได้คาดหวัง Upside มากนักหากเงินเฟ้อประกาศต่ำกว่าคาด ขณะเดียวกันเงินเฟ้อที่ 8% ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ย้ำชัดว่าต้องการที่ 2% ดอกเบี้ยจึงยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อแม้เงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุด
ส่วนหุ้นแนะนำได้แก่กลุ่มน้ำมัน (PTTEP) ธนาคารพาณิชย์ (BBL,KBANK,SCB TISCO) ค้าปลีก (BJC, CRC, CPALL, DOHOME) สื่อสาร (ADVANC)
PTTEP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 179.00 บาท) คาดคาดกำไรโตแข็งแกร่งต่อเนื่องใน H2/65 เพราะผู้บริหารให้แนวทางปริมาณขายที่โตอีก 16% YoY และ 9% HoH เป็น 487kBOED หนุนจากการเร่งผลิตจากโครงการ G1/61 (เอราวัณ) และแอลจีเรียที่เริ่มเดินเครื่องใน Q2/65 นอกจากนี้บริษัทจะรับรู้ปริมาณขายเต็มปีจากโครงการ Malaysia Block H และ Oman block 61 ในปี 65
KBANK (แนะนำลซื้อ ราคาเป้าหมาย 174.00 บาท) คงประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ 14% YoY สำหรับปี 65 และ 10% YoY ในปี 66 หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้นและการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง คาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลงเป็น 150bp ในปี 65 และ 130bp ในปี 66 เทียบกับ 173bp ในปี 64
นักวิเคราะห์ต่างประเทศกล่าวว่า นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐในวันอังคารที่ 13 ก.ย.นี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายในการบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI อาจเพิ่มขึ้นแตะ 8.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงเมื่อเทียบกับระดับ 8.5% ในเดือนก.ค.
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งตัวไซด์เวย์ขึ้น ตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นตามกัน จากความคาดหวังการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯในคืนวันพรุ่งนี้คาดว่าจะปรับตัวลดลง ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะมีการส่งสัญญาณในการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปที่จะลดความร้อนแรงลง จาก 0.75% มาเป็น 0.50% ได้ หากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ