27 ตุลาคม 2565
842

จิตตะ เวลธ์ ชวนลงทุนหุ้นเทคฯ จีน คาดผลตอบแทนสูงระยะยาว ตามนโยบายสี จิ้นผิง หนุนจีนเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรม

จิตตะ เวลธ์ ชวนลงทุนหุ้นเทคฯ จีน คาดผลตอบแทนสูงระยะยาว ตามนโยบายสี จิ้นผิง หนุนจีนเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรม

Highlight

บลจ. จิตตะ เวลธ์ ชวนสะสมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน โดยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงแรงค่อนข้างแรง ช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุนอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศนโยบายสนับสนุนเทคโนโลยีโดยตั้งเป้าเป็นเมืองแห่งนวัตกรรมในอนาคต นอกจากนี้จากการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) เป็นเวลา 10 ปี (55 – 64) แผนลงทุน Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีนสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ย แบบทบต้นได้ถึง 19.02% ต่อปีหลังหักค่าใช้จ่ายและรวมปันผลแล้ว ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของดัชนี CSI300 Total Return ที่ทำได้เพียง 10.06% ต่อปีในช่วงเดียวกัน เป็นเครื่องยืนยันว่าการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนน่าจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้


นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ ปิดเผยว่า ในช่วงตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงแรงในเวลานี้ ถือเป็นจังหวะเหมาะ ในการสะสมหุ้นจีน เนื่องจากเป็นการปรับลด จากปัจจัยระยะสั้นมากกว่า แต่หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาว จะพบว่าเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

ทั้งนี้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวในสุนทรพจน์งานประชุมผู้แทนระดับชาติแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ในแผนระยะ 5 ปีข้างหน้า จะพบว่ามีการเน้นย้ำคำว่า “เทคโนโลยี” ถี่มากขึ้นกว่าในอดีตหลาย เท่าตัว สะท้อนความพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจ จีนผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งด้าน เศรษฐกิจเทียบเคียงกับสหรัฐฯ ในระยะ 5 ปี ข้างหน้าย่อมต้องมีอุตสาหกรรม เทคโนโลยีจีนขึ้นเป็นจ่าฝูงหนุนให้เศรษฐกิจจีนขึ้นไปท้าชิงเบอร์หนึ่งของโลกได้

“การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้มีความชัดเจนที่จีนจะเดินหน้ากลยุทธ์การขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในอนาคต ด้วยความสามารถจากภายในทั้งบุคคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้าง ระบบนิเวศนวัตกรรมที่เปิดกว้างและแข่งขันได้ทั่วโลก เป็นผู้บุกเบิก และเป็นต้นแบบ ของการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสาขาที่สำคัญ รวมถึงจะเร่งผลักดันจีนให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมอีกด้วย”

ที่ผ่านมารัฐบาลจีนมีการสนับสนุนอุตสาหกรรม เทคโนโลยีผ่านแผนพัฒนาประเทศ 5 ปีฉบับที่ 14 และนโยบาย Made in China 2025 ที่ผลักดันให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิต จีนได้เพิ่มงบประมาณวิจัย และพัฒนาอย่างน้อย 7% ต่อปี โดยในปี 63 ประเทศจีนมีงบประมาณในการวิจัย และพัฒนาคิดเป็น 2.4% ของ GDP หรือคิดเป็น 563 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นประเทศที่มีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนามากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ จีนมีรายจ่ายด้านวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีคิดเป็น 76% ของรายจ่ายด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมด ในปี 2021 เพิ่มขึ้นจาก 50% ในปี 55

การที่รัฐบาลจีนกำลังทุ่มสรรพกำลังทั้งเงินทุน พร้อมทั้งคนเพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีจีนอย่างจริงจัง ทำให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนเติบโต โดดเด่นจนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี บริษัทเทคโนโลยีจีนที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงเช่น Union Pay ธุรกิจบัตรเครดิตที่มีส่วนแบ่ง ตลาด 45% หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ที่กำลังจะโค่น Facebook ลงได้อย่าง Tiktok ด้วยยอด 656 ล้านดาวน์โหลดในปี 64 หรือธุรกิจแห่งอนาคต อย่างรถยนต์พลังงานสะอาดก็มี BYD Auto Co., Ltd. ที่ครองส่วนแบ่งตลาด 16.9% ของโลกเป็นต้น

แม้ในปี 64 ที่ผ่านมาหุ้นเทคโนโลยีจีนจะได้รับแรงกดดันจากนโยบาย Common Prosperity แต่ในปีนี้เองทางการเริ่มผ่อนคลายแรงกดดันลงอย่างชัดเจน จึงจะเห็นได้ว่าหุ้นเทคโนโลยีจีนได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก

ขณะที่ขนาดของตลาดในประเทศที่มีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน ยังสร้าง ความได้เปรียบต่อการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัพ เพราะการเติบโตของบริษัท เทคโนโลยีเน้นการขยายตัวของผู้ใช้งานเป็นหลัก ขณะที่บางมณฑลของจีนมีประชากร เกินกว่า 100 ล้านคนเทียบเท่ากับประเทศใหญ่ประเทศหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งประชาชนจีนมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 1,032 ล้านคนในปี 64 มีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน 953 ล้านคน

ในขณะที่มีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในตลาดกว่า 85% รองรับเทคโนโลยี 5G ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีโครงข่ายสัญญาณ 5G มากที่สุดในโลกอยู่ที่ 2 ล้านเสาสัญญาณ

“จีนมีความพร้อมด้านเงินทุน และประชากร สนับสนุนให้บริษัทเทคโนโลยีจีน เติบโต รุดหน้าอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี โดยเฉพาะสตาร์ทอัพจากจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะระดมทุนผ่าน Private Equity และ Venture Capital หรือ PEVC ซึ่งจีนเป็นประเทศที่มี PEVC ลงทุนในสตาร์ทอัพมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ปี 2021 ด้วยมูลค่าการลงทุน 131 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอยู่ในอุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์มีมูลค่าสูงถึง 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้จีนมีสตาร์ทอัพ ระดับยูนิคอร์น (มูลค่าตลาดมากกว่า 1 พัน ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อยู่ที่ 174 บริษัท มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก สหรัฐฯ”

ด้วยโอกาสที่หุ้นเทคโนโลยีจีนจะเติบโตได้สูงล่าสุดบริษัทจึงได้เปิดแผนการลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลใหม่ ‘Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน’ เพื่อรับโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน และยังช่วยนักลงทุนเพิ่ม ทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุนและรับผลตอบแทนสูงอีกด้วย

โดยจะคัดกรองหุ้นจีนประเภท A-share ของบริษัทเทคโนโลยีที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (SSE) และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (SZSE) ที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง ด้วยอัลกอริทึมของ AI ที่จะคัดเลือกหุ้นดีราคาถูก และปรับพอร์ตของคุณโดยอัตโนมัติ ทุก 3 เดือน ซึ่งจะสร้างความมั่นใจได้ว่า นักลงทุนจะได้ลงทุนใน ‘หุ้นคุณภาพดี ราคาเหมาะสม และมีโอกาสเติบโตสูง’ อยู่เสมอ

ปัจจุบันกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking มีนโยบายลงทุนให้นักลงทุนได้เลือก ทั้งหมด 8 นโยบายด้วยกัน ประกอบด้วยหุ้นไทย หุ้นเวียดนาม หุ้นญี่ปุ่น หุ้นจีน หุ้นสหรัฐฯ หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ หุ้นสุขภาพสหรัฐ โดยวงเงินลงทุนขั้นต่ำใน Jitta Ranking เริ่มต้นที่ 500,000 บาท เพิ่มทุนครั้งละ 50,000 บาท

ทั้งนี้จากการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) เป็นเวลา 10 ปี (55 – 64) แผนลงทุน Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีนสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ย แบบทบต้นได้ถึง 19.02% ต่อปีหลังหักค่าใช้จ่ายและรวมปันผลแล้ว ซึ่งสูงกว่าผลตอบ แทนของดัชนี CSI300 Total Return ที่ทำได้เพียง 10.06% ต่อปีในช่วงเดียวกัน เป็นเครื่องยืนยันว่าการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนกับ Jitta Ranking ช่วยให้เงินลงทุน เติบโตได้ชัดเจนในระยะยาว

“การลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน จะเป็นหนึ่ง ในกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสปั้นพอร์ตเติบโตให้นักลงทุน เนื่องจาก AI จะช่วยนักลงทุนขจัดอุปสรรคในการติดตามข่าว วิเคราะห์งบการเงิน และกฎระเบียบการลงทุนอันเข้มงวดสำหรับนักลงทุนต่างชาติของจีน โดย AI จะเลือกสรรและปรับพอร์ตลงทุนให้อัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกให้นักลงทุน”นายตราวุทธิ์ กล่าว

ติดต่อโฆษณา!