01 ธันวาคม 2565
1,013

Fed ส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย เงินบาทแข็งค่า หุ้นอะไรไปต่อ

Fed ส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย เงินบาทแข็งค่า หุ้นอะไรไปต่อ
Highlight

ข่าวดีที่ทุกคนรอคอย ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะเตือนว่าภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อนั้นยังอีกยาวไกล แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกรอไม่ไหวพุ่งขึ้นไปรอถ้วนหน้า เช่นเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น ทองคำ คริปโท ด้านเงินบาทแข็งค่าในช่วงเช้าวันนี้อยู่ที่ 34.96 บาท/ดอลลาร์ โบรกเกอร์ชี้ หุ้นกลุ่มธนาคาร ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยปรับขึ้น หุ้นท่องเที่ยว โรงพยาบาล ได้ผลบวกจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว

นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวปาฐกถาว่าด้วยนโยบายการเงินและการคลังที่สถาบันบรู้กกิงส์ โดยระบุว่า เฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนธ.ค. ขณะเดียวกันก็เตือนว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อนั้นยังอีกยาวไกล และยังมีคำถามสำคัญหลายอย่างที่เฟดยังไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งรวมถึงคำถามที่ว่าอัตราดอกเบี้ยจำเป็นต้องถูกปรับขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดที่เท่าใดและใช้ระยะเวลานานเท่าใด

ทั้งนี้ แม้ว่านายพาวเวลไม่ได้ระบุว่า เขาคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายจะอยู่ที่ระดับใด แต่เขาส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายอาจจะอยู่สูงกว่า 4.6% ซึ่งเป็นระดับที่กรรมการเฟดหลายคนได้คาดการณ์กันไว้ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเขากล่าวว่า การแก้ปัญหาเงินเฟ้อนั้น จะสามารถทำได้ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับคุมเข้มในระยะเวลาหนึ่ง

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค.ปรับตัวขึ้น 7.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.9% และชะลอตัวจากระดับ 8.2% ในเดือนก.ย. อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวว่า แม้ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลง แต่ต้นทุนการซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้า ขณะที่ดัชนีวัดเงินเฟ้อในภาคบริการยังคงอยู่ในระดับสูงและตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว

เงินบาทแข็งค่าหลุด 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินบาทไทยเช้านี้มีการเคลื่อนไหวแข็งค่าไปถึง 34.96 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสุดนับจากเดือน มิ.ย. 2565 หรือในรอบ 5 เดือน ซึ่งมาจากความหวังต่อเนื่องว่าจีนจะเปิดประเทศ ด้านเศรษฐกิจไทยยังดูดี และไปต่อได้ในปีหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจหลายประเทศยังฟื้นตัวช้า

นักเศรษฐศาสตร์คาด กนง.ขึ้นดอกเบี้ยถึง 2% ในช่วงครึ่งแรกปี 66

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCBEIC) และ Krungthai COMPASS คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องอาจขึ้นไปแตะระดับ 2.00% ในช่วงครึ่งแรกของปี 66

โดย EIC คาดว่า กนง. จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง (ครั้งละ 25 BPS) ในช่วงครึ่งแรกของปี 66 สู่ระดับ 2% เพื่อให้นโยบายการเงินค่อยๆ กลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว

สอดคล้องกับ Krungthai COMPASS ที่มองว่า กนง. อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งแรกของปี สะท้อนจากมุมมองของ กนง. ที่ประเมินว่า การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ EIC มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่สามารถปรับสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะชะลอลงมากชัดเจน โดยเฉพาะเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ จะเริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรและยูโรโซนจะถดถอยต่อเนื่องจากปลายปีนี้ ทำให้อุปสงค์โลกชะลอลงมาก ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้

EIC ประเมินว่า กนง. จะประเมินจังหวะในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว เพื่อให้มั่นใจว่าการทำ Policy normalization ทั้งนโยบายการเงินและมาตรการการเงินที่จะสิ้นสุดภายในครึ่งแรกของปี 66 เช่น มาตรการลด FIDF fee ชั่วคราวที่จะสิ้นสุดในปีนี้ และมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูที่จะสิ้นสุดในเดือนเม.ย. ปีหน้า จะไม่ทำให้ภาวะการเงินตึงตัวเร็วมากจนกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและไม่แน่นอนสูง


อนึ่ง ที่ประชุม กนง. วานนี้ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1% เป็น 1.25% ตามคาด เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะยังเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจในระยะต่อไป และช่วยลดทอนผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 66 มีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการครั้งก่อนจากราคาพลังงานในประเทศเป็นสำคัญ แต่มีแนวโน้มลดลงและกลับสู่กรอบเป้าหมายในปี 66 ซึ่งการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อ

กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.2% 3.7% และ 3.9% ในปี 65, 66 และ 67 ตามลำดับ ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนได้รับแรงสนับสนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการจ้างงานและรายได้แรงงานที่ปรับดีขึ้นและกระจายตัวทั่วถึงมากขึ้น

ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะเป็นแรงส่งสำคัญต่อเนื่องในปี 66 และ 67 แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้ภาคการส่งออกขยายตัวลดลง อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงและอาจชะลอตัวมากกว่าคาด และความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

กนง. คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 65, 66 และ 67 จะอยู่ที่ 6.3% 3.0% และ 2.1% เงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้วในไตรมาสที่ 3 โดยสำหรับปี 66 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเทียบกับประมาณการครั้งก่อนจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเป็นสำคัญ แต่จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายภายในสิ้นปี

ทีเอ็มบีธนชาต ปรับดอกเบี้ยขึ้นมีผลวันนี้

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ขานรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นของ กนง. ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย บัญชีเงินฝากดิจิทัล ทีทีบี มีเซฟ (ttb ME save) เป็น 1.70% ต่อปี เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและส่งเสริมวินัยการออม มีผล 1 ธันวาคมนี้

นางสาวกนกวรรณ เพชรพิสิฐโชติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกรรมธนาคาร ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นัดสุดท้ายของปี 2565 เมื่อวันที่ 30 พ.ย.มี่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.00% เป็น 1.25% ซึ่งเป็นการขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 3 ของปีนี้ เพื่อสอดรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทีทีบี จึงประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย บัญชีเงินฝากดิจิทัล ทีทีบี มีเซฟ อีก 0.60% จากอัตราปัจจุบัน เป็นสูงสุด 1.70% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป

ราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์

สำนักข่าว The Business Times รายงานเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ว่า ราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ในการซื้อขายช่วงต้นของเอเชียในวันพฤหัสบดี (1 ธ.ค.) หลังจากคำกล่าวของนายเจอโรม เพาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ตอกย้ำความถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่น้อยลงในอนาคต

Gold Spot พุ่งขึ้น 0.4% เป็น 1,775.77 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 00.39 GMT ซึ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายนสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.7% เป็น 1,788.90 ดอลลาร์สหรัฐ

หุ้นเอเชียบวก รับ Fed ชะลอปรับดอกเบี้ยขึ้น

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกในวันนี้ โดยเคลื่อนไหวตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันพุธที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าสามารถเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลงได้ตั้งแต่เดือนธ.ค.

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่  28,273.13 จุด เพิ่มขึ้น 304.14 จุด หรือ +1.09%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,058.90 จุด เพิ่มขึ้น 461.67 จุด หรือ +2.48% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,187.99 จุด เพิ่มขึ้น 36.65 จุด หรือ +1.163% 

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อคืนนี้ โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น หลังปิดลบติดต่อกัน 3 วัน ขณะที่ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งกว่า 700 จุด หลังการแสดงความเห็นของนายพาวเวล

บล.ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านระยะสั้นที่ 1,640 จุดได้ไม่ยากในวันนี้จากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวก ตลาดได้แรงหนุนหลังประธาน Fed  ออกมาส่งสัญญาณว่าจะเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ แต่จะยังคงนโยบายที่รัดกุมต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นสัญญาณการปรับลงของเงินเฟ้อที่ชัดเจนมากขึ้น 

ส่วนราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง คาดว่าเป็นผลจากอานิสงส์ทั้งฝั่งจีนที่ดูมีแนวโน้มทยอยผ่อนปรนมาตรการคุม COVID-19  ขณะที่การประชุม OPEC+ วันที่ 4 ธ.ค. ตลาดมองว่าจะยังคงการปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรลต่อวันต่อเนื่องจากเดือน พ.ย. 

ส่วนปัจจัยในประเทศภาพรวมยังเป็นบวกทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวานนี้ รวมถึงผลการประชุมกนง.ที่ยังสะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่แข็งแรงโดยเฉพาะการบริโภคในประเทศและท่องเที่ยว

ฟินันเซียมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Domestic Play ได้แก่ กลุ่ม ธนาคาร ค้าปลีก อาหาร การแพทย์ และ ท่องเที่ยว

ติดต่อโฆษณา!