29 ธันวาคม 2565
671

5 หุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ คาดทุกบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นแข็งแกร่งในไตรมาส 3-4/2565

5 หุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ คาดทุกบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นแข็งแกร่งในไตรมาส 3-4/2565
Highlight

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยคัด 5 หุ้นเด่นที่คาดว่าจะประกาศกำไรสุทธิเติบโตดี สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2565 โดยบริษัทเหล่านี้ได้อานิสงฆ์จากการเปิดประเทศ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และการบริโภคในประเทศ ได้แก่  ADVANC  BDMS  CPN CRC  MINT ส่วนการคาดการณ์ดัชนีหุ้นในปี 2566 คาดว่า SET Index ปีจะปรับขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 1,946 จุด ในกรณีเศรษฐกิจโลกไม่ถดถอยและฟื้นตัวได้ และจุดต่ำสุดจะอยู่ที่ 1,568 จุด ในกรณีที่มีการขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น


ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ แลคาดว่าจะเติบโตได้ดีในปี 2566  โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ที่จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คัดเลือก 5 หุ้นเด่นที่คาดว่าจะประกาศผลกำไรเติบโตได้ดีสำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 3-4/2565 ได้แก่

ADVANC

ปัจจัยหนุน เราเชื่อว่าการปรับปรุงโครงสร้างตลาดในธุรกิจบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และเน็ตบ้านจะช่วยลดภาระ opex และ capex ส่งผลให้อัตรากำไร FCF และ ROIC เพิ่มขึ้น เราเชื่อว่า ADVANC หลังจากที่ GULF สามารถปรับโครงสร้างการลงทุนด้านโทรคมนาคมเสร็จสิ้นแล้ว จะดำเนินการปลดล็อกมูลค่าผ่านการขายสินทรัพย์และข้อตกลงการเช่ากลับ

BDMS

แนวโน้มธุรกิจ แนวโน้มการฟื้นตัวขึ้นของรายได้เร็วกว่าทั้งที่ BDMS และตลาดคาดไว้ ซึ่งช่วยให้อัตรากำไรขยายตัว และกำไรสุทธิเป็นช่วงขาขึ้น เราเชื่อว่าเป้าการเติบโตของรายได้ที่ 6-8% ในปี 2566-68 มีความเป็นไปได้ ต่น่าจะมี upside ต่อเป้าอัตรากำไร EBITDA ที่ 23-24%

CPN

บล.กสิกรไทย มองว่างานปีใหม่ 2566 และการเปิดตัวของคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีเอกลักษณ์อย่าง มาร์เช่ ทองหล่อ และการประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งในและต่างประเทศจะสร้างความเชื่อมั่นในเชิงบวก รวมถึงอาจมีความเสี่ยงขาขึ้นต่อประมาณการกำไรและมูลค่าที่เราประเมินไว้ในปัจจุบัน นอกจากนี้รูปแบบธุรกิจใหม่จะเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้กับแนวโน้มธุรกิจ 

CRC

คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2566 ผลประกอบการปี 2566 ของ CRC คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จาก 1) กลุ่มแฟชั่นที่ฟื้นตัวเต็มที่ซึ่งสร้างอัตรากำไรที่ค่อนข้างสูง 2) คาดกำลังซื้อที่สูงขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 3) รายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้นทั้งในไทยและเวียดนาม

MINT

คาดกำไรสุทธิปี 2566 จะอยู่ที่ 4.5 พันลบ. เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2566 จะอยู่ที่ 4.5 พันลบ. เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ของเราที่ 183 ลบ. หนุนจากโรงแรมในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นแข็งแกร่ง

กลยุทธ์การลงทุน 2566 คาดหวังสิ่งดีที่สุดแต่พร้อมรับมือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด

บล.กสิกร มีมุมมองบวกอย่างระมัดระวังต่อ SET Index จากเป้าสิ้นปี 2566 ที่ 1,757 จุด อิงจาก EPS ปี 2567 ที่ 113 บาท และ PER ที่ 15.55 เท่า (-0.5SD)

กรณีดีที่สุด : บล.กสิกรไทย คาดว่า SET Index ปี 2566 จะอยู่ที่ 1,946 จุด คำนวณด้วย PER ที่ 17.22 เท่า (-0.5SD) หรือสะท้อนสถานการณ์ “goldilocks” ที่เศรษฐกิจโลกไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยขณะที่อัตราเงินเฟ้อแนวโน้มลดลง

กรณีเลวร้ายที่สุด : คาดว่า SET Index จะอยู่ที่ 1,568 จุด คำนวณด้วย 13.88 เท่า (-1.5SD) หรือสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับสูงมากและธนาคารกลางทั่วโลกรวมทั้ง ธปท. จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุกในปี 2566 ในกรณีที่ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น เราคาดว่า SET Index จะลดลงมาอยู่ที่ 1,475 จุด


แนวโน้มการลงทุนในปี 2566

แนวโน้มการลงทุนในปี 2566 ยังขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจรูปแบบ K-shaped เป็นหลัก เรายังคาดว่ากลุ่มที่มีรายได้ระดับสูงจะทำได้ดีกว่ากลุ่มรายได้ปานกลาง ตามสภาวะเศรษฐกิจรูปแบบ K-shaped การอีดฉีดเงินทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) ส่งผลให้กำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้ระดับสูงแข็งแกร่งกว่าทั้งในแง่ของความสามารถในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อระดับสูงได้ดีกว่าหรือสภาวะเงินเฟ้อที่อาจจะตึงตัวต่อเนื่องในปี 2566

ปัจจัยเสี่ยงหลัก

SET ไม่ถูกในเชิง Earning Yield Gap (EYG) คือส่วนต่างระหว่าง Earning Yield ของตลาดหุ้น เทียบกับ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (Government Bond Yield) ซึ่งมักจะใช้พันธบัตรอายุ 10 ปี แม้ SET Index ค่อนข้างถูกหากพิจารณาจาก Price to Earnings Ratio (PER) โดยปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่า -0.5SD ของ PER และ –1SD ของ PBV เล็กน้อย แต่มูลค่าค่อนข้างแพงหากพิจารณาจาก EYG ที่ 3.6% หรือ -0.5SD แม้อัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ลดลง

ปัจจัยเสี่ยงด้านนโยบายหากเงินเฟ้อไม่ปรับลดลงในปี 2566 จากการที่ดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเพียงเล็กน้อย (75bps) สภาวะเศรษฐกิจไทยจึงมีความเสี่ยงด้านนโยบายหากอัตราเงินเฟ้อยังตึงตัวและยืนสูงในปี 2566 วัฎจักร NPL อาจเลวร้ายลงอีก เรามองว่าไม่ควรวางใจเกินไปกับวัฎจักรเครดิตของไทย NPL อาจเพิ่มสูงขึ้นหลังการปรับโครงสร้างหนี้สินเชิงรุกในช่วงวิกฤติโควิด-19 สินเชื่อที่มีอัตราผลตอบแทนสูงปัจจุบันยังคงมีปัญหา NPLs ที่ยังเพิ่มสูงขึ้น

หุ้นเด่นของ บล.กสิกรไทย

►กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ : BCP และ PRM

►กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากวัฎจักร NPL ในประเทศ: BAM

►กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น: KTB

►กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจแบบ K-shaped: SC (ผู้เล่นในประเทศ) และ AAI (ผู้เล่นส่งออก)

►กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ : CPN, CRC, BDMS, MINT และ ADVANC

ติดต่อโฆษณา!