05 มิถุนายน 2566
897

ชวนจัดพอร์ตหุ้น - พันธบัตรหลังเลือกตั้ง

Highlight

ก่อนเลือกตั้ง (14 พ.ค. 66) ตลาดคาดการณ์ว่า หลังเลือกตั้งหุ้นจะขึ้น แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามคาด ปรากฏว่าหลังเลือกตั้งหุ้นลงติดต่อกัน 5 วันในสัปดาห์แรก และยังคงผันผวน จากความไม่แน่นอนทางการเมืองและปัจจัยภายนอกประเทศ คุณวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเนตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น และแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในระหว่างที่การเมืองยังไม่แน่นอน

▪️ หุ้นลงเพราะอะไร ? ซึ่งจากการวิเคราะห์น่าจะมาจาก 2 สาเหตุ 

1. มีความกังวลการจัดตั้งรัฐบาลช้า จะทำให้งบประมาณปี 2567 มีความล่าช้า โดยปกติจะมีการพิจารณางบประมาณปีถัดไปในช่วงเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม เพื่อจะได้ใช้งบประมาณได้ทันในช่วงเดือนตุลาคม หากตั้งรัฐบาลล่าช้า จะทำให้การพิจารณางบประมาณล่าช้าออกไปด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว ในปีนี้เศรษฐกิจไทยโดนฉุดด้วยงบประมาณอยู่แล้ว โดยรายจ่ายภาครัฐหายไป หากมีการพิจารณางบประมาณล่าช้าอีก ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าลง 

2. นโยบายของพรรคแกนนำ บางนโยบายที่อาจจะกระทบต่อธุรกิจผูกขาด ทำให้หุ้นกลุ่มสื่อสาร พลังงาน ปรับลงมาแรง 

บล.กรุงศรีฯ มองว่าตลาดปรับตัวลงมากเกินไปจากทั้งสองปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยที่สอง หากเราย้อนกลับไปดูในอดีต ไม่ค่อยมีที่รัฐบาลจะเกิดจากพรรคเดียว ส่วนใหญ่เป็นรัฐบาลผสม  เมื่อเป็นรัฐบาลผสมจะทำให้มีการผสมผสานนโยบายของแต่ละพรรคเข้าด้วยกัน ไม่สุดขั้วมากเกินไป สังเกตได้ว่า หลังจากที่มีการเซ็น MOU แล้วตลาดหุ้นค่อย ๆ ฟื้นกลับมา 

ซึ่งในช่วงแรก ๆ หลังจากผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไม่เป็นทางการ  หุ้นตกต่อเนื่อง บางวันลงไปต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด เป็นโอกาสซื้อสะสม ซึ่งในระดับดัชนีที่ 1,500 จุด จะมีค่า P/E อยู่ที่ 15 เท่า ลดลงมาจากค่าเฉลี่ยประมาณ 1 Standard Deviation เป็นโอกาสที่จะลงทุนได้ ซึ่งปัจจุบันมองว่าตลาด Over React มากเกินไป

จากการวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์กรุงศรี พัฒนสิน พบว่าจะมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ที่อยู่ใน MOU ที่มีข้อที่ลดความเหลื่อมล้ำ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างรายได้ ซึ่งภาคธุรกิจที่ได้ประโยชน์คือ SME 

20230605-a-01.jpg

▪️ ดังนั้นกลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ 

1. หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก SME ได้แก่หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นกลุ่มก่อสร้าง และหุ้นค้าปลีก 

2. นโยบายปรับโครงสร้างพลังงาน ทำให้ประชาชนมีเงินไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น 


สำหรับ Sector ที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ ธนาคาร สื่อสาร และค้าปลีก หุ้นหลายตัวที่ราคาลงไปมาก บางตัวมีโอกาสฟื้นตัวกลับมา และที่น่าสนใจโดยเฉพาะคือหุ้นปันผล ที่ราคาลงไปมาก 

20230605-a-02.jpg
หุ้นปันผลของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่น เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น อัตราเฉลี่ยปันผลอยู่ที่ 1-2% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย อัตราการจ่ายปันผลดีมากอยู่ที่ 6-8% 

ดังนั้นเมื่อตลาดปรับตัวลงมากอย่างนี้ เป็นโอกาสซื้อสะสม ซึ่งหุ้นธนาคารบางตัวมีปันผลสูง 4-5% หุ้นสื่อสารบางตัวมีปันผล  7-8% 

20230605-a-04.jpg

▪️ สำหรับเครื่องมือในการลงทุนอื่น ๆ ที่นักลงทุนอาจสนใจ เช่น

การลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งแนะนำ 2 กองทุน คือ KFDYNAMIC  KFDNM-D ซึ่งนโยบายการลงทุนในทั้งสองกองทุนนี้คลอบคลุมหุ้นใน 3 กลุ่มที่น่าลงทุน ซึ่งได้แก่ ธนาคาร สื่อสาร ค้าปลีก และเป็นกองทุนหุ้นไทยที่มีรูปแบบการลงทุนให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบ ทั่วไป ปันผล หรือ RMF ซึ่งช่วงจังหวะการลงทุนในระดับดัชนี 1,500 จุด ถือว่าลงทุนได้ 

20230605-a-03.jpg
▪️ ปัจจัยภายนอก ที่ต้องจับตามอง 

Fed ขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งใกล้จะจบรอบแล้ว ซึ่งนักลงทุนคาดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า Fed อาจจะลดดอกเบี้ยปลายปีนี้ แต่ทางกลุ่มกรุงศรีฯ มองว่า Fed จะคงดอกเบี้ยไปจนถึงปีหน้า เพราะอาจจะต้องจัดการเรื่องเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจที่ยังไม่เติบโตเท่าที่ควร  

ทั้งนี้การที่ตลาดคาดการณ์เชิงบวกมากเกินไปว่า ดอกเบี้ยจะปรับลงปลายปี ตรงนี้อันตราย มีการเข้าเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากเกินไป จนทำให้ดัชนีตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐฯ ปรับขึ้นถึง 20% จากต้นปี ขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นมา 10% 

ดังนั้นถ้าใครชอบหุ้นเทคสหรัฐฯ อาจต้องรอจังหวะการย่อตัวลงมาก่อน เพราะราคาปรับขึ้นไปมากแล้วในขณะนี้

สำหรับตลาดหุ้นจีนในปีนี้จะเป็นลักษณะ เซอร์ไพรส์ในทางไม่ค่อยดี  มองว่ายังมีปัจจัยที่ไม่ชัดเจน เช่น นโยบายของรัฐ การเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าราคาหุ้นจีนยังไม่แพง โอกาสในการฟื้นตัวก็มี แต่อาจช้าหน่อย 

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการคำปรึกษาการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งการจัดพอร์ตลงทุนอย่างเหมาะสม ก็สามารถขอคำแนะนำ หรือใช้บริการการลงทุน จากผู้จัดการกองทุนได้

ติดต่อโฆษณา!