25 กันยายน 2566
576
InnovestX แนะกระจายพอร์ตลงทุนเวียดนาม อินโดนีเซีย เติบโตแกร่งในปีหน้า


นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ไทยจะเผชิญ 3 ปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้ทำให้ เศรษฐกิจชะลอตัวได้แก่
1. เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized slowdown)
2. ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น (Higher for longer) โดยคาดดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ระดับปัจจุบันที่ 5.4% จนถึงสิ้นปี
3. ความแตกต่างระหว่างสหรัฐที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ
นายสุกิจระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น และมอว่า มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1% จากประมาณการณ์เดิม
จึงคาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้ง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2566 ไว้ที่ 1650 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ
ชี้เป้าหุ้นเด่นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ได้แก่ AOT BCH CRC KCE และ KTB พร้อมทั้งกระจายการลงทุนไปยังประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่จะได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้ง ยังมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเติบโตได้มาก เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย

▪️ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้งด้วยปัจจัยต่อไปนี้
1. แนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน
2. การเสร็จสิ้นการปรับลดอันดับเครดิต ผลประกอบการ และ GDP
3. นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับความตึงตัวของ Fed
4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว

▪️ โดยความเสี่ยงสำคัญ 2 ประการที่ยากจะมองข้าม ได้แก่
ประการแรก ด้วยระดับน้ำที่ต่ำและฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลสำคัญ การเกิดเอลนีโญระดับรุนแรงจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของเกษตรกรแต่จะถูกผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยในไตรมาสที่ 1
ประการที่สอง ในกรณีที่รัฐบาลเลือกที่จะกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจส่งผลต่อความเข้มแข็งทางการคลัง
ดังนั้นจึงประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ อยู่ที่ 1,650 จุด เป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุด ขณะที่ในไตรมาส 4 จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,550 จุด โดยผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 5-7%
“กลยุทธ์การลงทุน แนะนำโฟกัสไปที่หุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือทำจุดต่ำสุดแล้ว และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นหุ้นวัฏจักรที่มีความสัมพันธ์กับการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงซึ่งจะได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของกำไร โดยหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ได้แก่ AOT BCH CRC KCE และ KTB” นายสุกิจ กล่าวเสริม
.
นายพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า การลงทุนในต่างประเทศ ทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย เป็นทางเลือกที่ดี เพราะทั้งสองประเทศมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง
ประเทศเวียดนาม ที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าประเทศไทยค่อนข้างมาก ส่งผลให้อัตราการเติบโตของจีดีพีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงถึง 6-7% ต่อปีสูงกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่าตัว
ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 270 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ และถึงแม้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังคงเติบโตด้วยอัตรา 5% ต่อปี
ซึ่งทั้งสองประเทศได้รับเม็ดเงินจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเม็ดเงินจากการลงทุนทางตรงในปีที่แล้วของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียนั้นสูงคิดเป็น 2 และ 4 เท่าเมื่อเทียบกับของประเทศไทยตามลำดับ
อีกทั้งประชากรของทั้งสองประเทศยังเป็นวัยทำงานมากถึง 50-60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และกลุ่มคนวัยดังกล่าวกำลังย้ายจากภาคการเกษตรเข้ามาในภาคอุตสาหกรรม และอยู่อาศัยในตัวเมืองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รายได้ต่อหัวปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้า
โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของประชากรคนชั้นกลาง ได้แก่ กลุ่มสิ่งของอุปโภคและบริโภคต่างๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าจาก ผ่านร้านค้าทั่วไป (Traditional Trade) เป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยของประชาชนทั่วไปซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำและสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต
“ผลตอบแทนจากการลงทุน ผ่านกองทุนส่วนบุคคล ของเวียดนาม ให้ผลตอบแทนจากต้นปีประมาณ 23% อินโดนีเซีย 25% การลงทุนในหุ้นไทยยังติดลบ 1%-2%. ดังนั้นการกระจายการลงทุน จะช่วยทำให้พอร์ตรวมมีผลตอบแทนสูงขึ้น” นายพสุวุฒิ กล่าว
ข่าวยอดนิยม

6 แอปฯ "ออมทอง" ไม่ต้องมีเงินก้อน ก็เริ่มลงทุนได้ !

7 แอป สร้างรายได้เสริม ไม่ต้องออกจากบ้าน ก็หาเงินได้!

ส่องรายได้คนขับส่งอาหาร ทางเลือกอาชีพยุคโควิด

6 บัญชี “ออมทรัพย์ดิจิทัล” ดอกเบี้ยดีต่อใจ สมัครง่ายผ่านออนไลน์ !
