28 กันยายน 2566
1,063
มูลค่าตลาดรวมหุ้นโลกวูบต่ำกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์ ครั้งแรกใน 4 เดือน หวั่นเศรษฐกิจจีนทรุด !
Nikkei Asia อ้างอิงข้อมูลจาก QUICK-FactSet ของบริษัทผู้ให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ทางการเงินและเศรษฐกิจ หรือ QUICK เผยมูลค่ารวมของตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงต่ำกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 เดือน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2023 โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 99.21 ล้านล้านดอลลาร์ หรือลดลง 7% จากจุดสูงสุดครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 66 และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 66
MSCI ACWI Index ดัชนีหุ้นขนาดกลางถึงใหญ่ใน 23 ตลาดที่เป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว หรือ Developed Market : (DM) และอีก 27 ประเทศในตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market : (EM) ลดลง 1% เมื่อคำนวณรวมในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทที่มีมูลค่าตั้งแต่ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป หรือกลุ่มธุรกิจแบรนด์หรูราคาแรับลงรุนแรงมากมี่สุดในช่วงระหว่างวันที่ 31 ก.ค. - 26 ก.ย. เช่น หุ้น LVMH (Moet Hennessy Louis Vuitton) ราคาร่วงลงมากที่สุดถึง 20.4% ตามมาด้วย Christian Dior และ Hermes International ลดลง 20% และ 18.7% ตามลำดับ
ทั้งนี้คาดว่ากลุ่มกำลังซื้อที่สพคัญอย่างลูกค้าชาวจีน ประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ประกอบกับคาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง ส่งผลให้มีการเทขายหุ้นแบรนด์หรูเหล่านี้
นอกจากนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนปี 2023 ลงจาก 5.4% เป็น 5.1% และในปีหน้าลดจาก 5.1% เป็น 4.6%
สำหรับเศรษฐกิจยูโรโซนคาดว่าจะเติบโตช้าลง เหลือเพียง 0.6% โดยปรับลดลงจากครั้งก่อนที่คาดว่าจะโต 0.9% ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่ายูโรโซนมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation หรือภาวะสินค้าราคาสูงขึ้นขณะที่คนไม่มีกำลังใช้จ่าย
อีกปัจจัยที่สำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
“อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้ต้นทุนทางการเงินสำหรับธุรกิจเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่าพวกเขาจะทบทวนแผนการลงทุน นโครงการใหม่ รวมทั้งลดการใช้จ่ายลง” Tomo Kinoshita นักยุทธศาสตร์ตลาดทุนระดับโลก บริษัท Invesco Asset Management กล่าว
MSCI ACWI Index ดัชนีหุ้นขนาดกลางถึงใหญ่ใน 23 ตลาดที่เป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว หรือ Developed Market : (DM) และอีก 27 ประเทศในตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market : (EM) ลดลง 1% เมื่อคำนวณรวมในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทที่มีมูลค่าตั้งแต่ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป หรือกลุ่มธุรกิจแบรนด์หรูราคาแรับลงรุนแรงมากมี่สุดในช่วงระหว่างวันที่ 31 ก.ค. - 26 ก.ย. เช่น หุ้น LVMH (Moet Hennessy Louis Vuitton) ราคาร่วงลงมากที่สุดถึง 20.4% ตามมาด้วย Christian Dior และ Hermes International ลดลง 20% และ 18.7% ตามลำดับ
ทั้งนี้คาดว่ากลุ่มกำลังซื้อที่สพคัญอย่างลูกค้าชาวจีน ประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ประกอบกับคาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง ส่งผลให้มีการเทขายหุ้นแบรนด์หรูเหล่านี้
นอกจากนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนปี 2023 ลงจาก 5.4% เป็น 5.1% และในปีหน้าลดจาก 5.1% เป็น 4.6%
สำหรับเศรษฐกิจยูโรโซนคาดว่าจะเติบโตช้าลง เหลือเพียง 0.6% โดยปรับลดลงจากครั้งก่อนที่คาดว่าจะโต 0.9% ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่ายูโรโซนมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation หรือภาวะสินค้าราคาสูงขึ้นขณะที่คนไม่มีกำลังใช้จ่าย
อีกปัจจัยที่สำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
“อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้ต้นทุนทางการเงินสำหรับธุรกิจเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่าพวกเขาจะทบทวนแผนการลงทุน นโครงการใหม่ รวมทั้งลดการใช้จ่ายลง” Tomo Kinoshita นักยุทธศาสตร์ตลาดทุนระดับโลก บริษัท Invesco Asset Management กล่าว