07 พฤศจิกายน 2566
522

ทิสโก้แนะลงทุน Global Bond, Healthcare และ Gold ช่วงโค้งสุดท้ายปี 66

ทิสโก้แนะลงทุน Global Bond, Healthcare และ Gold ช่วงโค้งสุดท้ายปี 66

20231107-b-01.jpg

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุน ทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความเสี่ยงในการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ประกอบด้วยประเด็นต่อไปนี้

1. สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
2. อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงเพิ่มความตึงตัวให้กับสภาวะการเงิน กดดันการเติบโตเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
3. ตลาดหุ้นแพง เพราะตลาดคาดการณ์กำไรตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2567 สูงเกินไป และไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่า ปี 2567กำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะเติบโต 12% สวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่า ปี 2567 จะเติบโต 1%


สำหรับรายละเอียดสินทรัพย์ที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนในช่วงนี้ มีดังนี้

1. ตราสารหนี้ต่างประเทศ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ อายุเฉลี่ยระยะกลางถึงยาว และมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA- ขึ้นไป พร้อมทั้งควรเป็นตราสารหนี้ที่มีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) มากกว่า 5%ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ไทยที่อยู่ราว 2.5%

ทั้งนี้ หากปี 2567เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอย จนทำให้ธนาคารกลาง ต้องหันกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยลง การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากสองทางคือ
1. ได้รับอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ
2. เพิ่มโอกาสรับกำไรจากส่วนต่างด้านราคาหน้าตั๋ว (Capital gain) กว่า 10%

สะท้อนให้เห็นว่า ตราสารหนี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูงและมีความเสี่ยงที่ต่ำ (Low Risk High Return)


2. หุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive) เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ถือเป็นกลุ่มที่รายได้มีความแข็งแกร่ง จากการขายสินค้าจำเป็น ทำให้ความต้องการสินค้าไม่ชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังมีอำนาจในการปรับขึ้นราคาสินค้า (Pricing Power) และมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนในช่วงที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สะท้อนผ่านตัวเลขอัตรากำไร (Profit margin) ที่อยู่ในระดับสูงและมีความสม่ำเสมอ

กำไรของธุรกิจเฮลธ์แคร์ จึงมีความแข็งแกร่งกว่าอุตสาหกรรมอื่น สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเป็นหุ้นกลุ่มที่มักจะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งที่ผ่านมาในอดีต

นอกจากนี้ ในปี 2567 หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ถือเป็นกลุ่มที่ “เติบโตสูง ราคาไม่แพง” เนื่องจากนักวิเคราะห์จาก FactSet คาดการณ์ว่ากำไรของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์จะเติบโตได้สูงถึง 15.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) นับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 ที่มีแนวโน้มขยายตัว 12.2% YoY

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังมีมูลค่า (Valuation) ที่ต่ำกว่าภาพรวมตลาด สะท้อนจากค่า อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นปี 2567 (Forward P/E) ที่อยู่เพียงแค่ 17 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P500ที่ซื้อขายกันที่ Forward P/E 18 เท่า ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนมีต่ำกว่าหุ้นอุตสาหกรรมอื่น ๆ


3. ทองคำ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือภาวะสงคราม ทองคำยังคงเป็น “Safe heaven” หรือสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งในสภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงประกอบกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดเดาได้ยาก การกระจายเงินลงทุนบางส่วนไว้ในทองคำ น่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี

นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากกระแส De-dollarization หรือการที่ธนาคารกลางทั่วโลก ลดการถือครองดอลลาร์และเพิ่มการถือครองทองคำมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการซื้อทั้งจากบรรดาธนาคารกลางและนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ติดต่อโฆษณา!