26 ธันวาคม 2566
3,163
รู้จัก 7 หุ้นนางฟ้า ของต้องมีในพอร์ตปี 2024
ฟินโนมีนา ชี้ว่าตั้งแต่ต้นมานี้ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเหนือกว่าตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด กลับพบว่าเป็นการเพิ่มขึ้นแบบกระจุกตัว นำโดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่แค่ 7 ตัวเท่านั้น คือ
Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia
หุ้นเทคโนโลยี 7 ตัวนี้ มีน้ำหนักต่อดัชนี S&P 500 สูงถึง 27% และมีน้ำหนักต่อ Nasdaq 100 ถึง 55% พอหุ้นพวกนี้แกว่งขึ้นลง จึงมีอิทธิพลต่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ มากทีเดียว
เลยมีคนบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เรียกหุ้น 7 ตัวนี้ว่า ”The Magnificent Seven“ขออนุญาตแปลเอาเองเป็นคำไทยเท่ ๆ ว่า “7 หุ้นเทพ” หรือ หุ้นนางฟ้านั่นเอง
หุ้น 7 ตัวที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้จึงมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
คำว่า The Magnificent Seven เพิ่งถูกหยิบมาพูดถึงในปี 2023 นี้เอง เพราะกระแสการเติบโตของเทคโนโลยี AI ซึ่งหุ้นทั้ง 7 ตัว ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ จาก AI
จึงถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต มีโอกาสสร้างผลกำไรอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยี AI และกำลังจะครองโลกในเฟสถัดจากนี้ไปอีกยาว ๆ
บล.ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ แนะควรมีหุ้น 7 นางฟ้า อยู่ในพอร์ต หุ้นกลุ่มนี้มีเงินสดในมือมาก มีต้นทุนทางการเงินต่ำ มีโอกาสทำผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่า
คุณอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกล่าวว่า ในปี 2567 น่าจะเป็นปีที่ดีกับการลงทุนทั้งตราสารหนี้และหุ้น
ประเด็นความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจะเบาบางลง เศรษฐกิจคงจะชะลอตัว ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่จะเป็นการคงดอกเบี้ยไว้
ขณะที่ การลดดอกเบี้ย คาดว่าจะเกิดขึ้น 3 ครั้ง เริ่มต้นในเดือน พ.ค. 67 เป็นการลดอย่างช้าๆ ซึ่งปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม เพราะกระทบการลงทุนได้ ในกรณีที่ไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง เราเชื่อว่า ความจำเป็นที่จะต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วคงไม่มี
ในสภาวะนี้ แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น มองว่าควรมีหุ้น 7 นางฟ้า หรือหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 บริษัท ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในพอร์ต เนื่องจากกลุ่มนี้ยังมีการเติบโตที่ดีมีคุณภาพ (Quality Growth) ได้ประโยชน์จากกระแสการตื่นตัวและลงทุนด้าน A.I.
นอกจากนี้ยังมีเงินสดในมือมาก มีต้นทุนทางการเงินต่ำ หากเศรษฐกิจไม่แย่มาก กลุ่มนี้ก็มีโอกาสทำผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่าตลาด