15 กุมภาพันธ์ 2567
402
บลจ.กรุงศรี เปิด 5 ธีมการลงทุนปี 67 รับเทรนด์ดอกเบี้ยลด
นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด(บลจ.กรุงศรี) เผยหลัก ๆ ลงทุนกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดีย เวียดนาม และหุ้นกลุ่มที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว โดยกองทุนต่างประเทศยังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง
.
▪️ ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2567 นั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้
.
แนะนำให้นักลงทุนสร้างพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) ด้วยกองทุนกรุงศรี The One ทางเลือกที่ตอบทุกเป้าหมายผลตอบแทน โดดเด่นด้วยการผสานจุดแข็งของกลุ่มกรุงศรีและพันธมิตรด้านการลงทุนระดับโลก มีการคัดสรรกองทุนเด่นที่มีผลงานดีเข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุน มีการกระจายการลงทุนทั่วโลก ปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว
.
โดยกรุงศรี The One มี 3 กองทุนให้เลือกลงทุนตามเป้าหมายผลตอบแทนที่ต้องการและระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ มีตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง ได้แก่ KF1MILD ที่มีเป้าหมายผลตอบแทนในการชนะเงินเฟ้อ KF1MEAN เน้นรักษาสมดุลของผลตอบแทนและความเสี่ยงและ KF1MAX ที่เน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและลงทุนตามธีมที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตที่ดีของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวได้” นายศิระ กล่าว
.
นางสุภาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2566 ที่ผ่านมานั้น กองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 73% ของ AUM รวม
.
ซึ่งการเติบโตที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องมูลค่ารวมกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะเงินลงทุนในกองทุน Term fund กองทุน FIF และกลุ่มกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี
.
ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรม มีอัตราการเติบโตที่ 6% (อุตสาหกรรม 5.46%) โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 4 หมื่นบัญชี คิดเป็น 9% ของฐานลูกค้าในปีก่อน
.
▪️ ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่
1. การลงทุนในตราสารหนี้เพราะได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยสหรัฐกลับตัวเป็นขาลง โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFTRB และ KF-CSINCOM
2. การลงทุนในตลาดประเทศกำลังพัฒนาซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KF-EM, KFINDIA และ KFVIET
3. การลงทุนหุ้นคุณภาพสูงที่มีหนี้อยู่ในระดับต่ำ มีอัตราการทำกำไรสูง มีกระแสเงินสดดี และมีความทนทานในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดี โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFGBRAND
4. การลงทุนในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่าตลาดโดยรวม รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และการฟื้นตัวของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFHTECH
5. การลงทุนในหุ้นไทยที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2567 นั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้
.
แนะนำให้นักลงทุนสร้างพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) ด้วยกองทุนกรุงศรี The One ทางเลือกที่ตอบทุกเป้าหมายผลตอบแทน โดดเด่นด้วยการผสานจุดแข็งของกลุ่มกรุงศรีและพันธมิตรด้านการลงทุนระดับโลก มีการคัดสรรกองทุนเด่นที่มีผลงานดีเข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุน มีการกระจายการลงทุนทั่วโลก ปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว
.
โดยกรุงศรี The One มี 3 กองทุนให้เลือกลงทุนตามเป้าหมายผลตอบแทนที่ต้องการและระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ มีตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง ได้แก่ KF1MILD ที่มีเป้าหมายผลตอบแทนในการชนะเงินเฟ้อ KF1MEAN เน้นรักษาสมดุลของผลตอบแทนและความเสี่ยงและ KF1MAX ที่เน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและลงทุนตามธีมที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตที่ดีของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวได้” นายศิระ กล่าว
.
นางสุภาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2566 ที่ผ่านมานั้น กองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 73% ของ AUM รวม
.
ซึ่งการเติบโตที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องมูลค่ารวมกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะเงินลงทุนในกองทุน Term fund กองทุน FIF และกลุ่มกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี
.
ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรม มีอัตราการเติบโตที่ 6% (อุตสาหกรรม 5.46%) โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 4 หมื่นบัญชี คิดเป็น 9% ของฐานลูกค้าในปีก่อน