22 กุมภาพันธ์ 2567
518
วัดใจนักลงทุน “จีน” ปะทะ “อินเดีย” นาทีนี้ใครคือผู้ชนะ ?
ฟินโนมีนา แพลตฟอร์มการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่ง วิเคราะห์การลงทุนในสองตลาดยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย ระหว่าง อินเดีย ที่ราคาหุ้นปรับสูงขึ้นทุกวัน “แพงไปหรือยัง” หรือกับตลาดจีน ที่ราคาลดลงทุกวัน “ถูกพอหรือยัง”
ประเด็นแรกที่จุดให้จีนและอินเดียได้รับความสนใจขึ้นมาพร้อม ๆ กัน นั่นคือการที่ MSCI ประกาศเพิ่มน้ำหนักหุ้นอินเดียใน Global Standard Index จำนวน 5 ตัว และถอนหุ้นจีนออก 66 ตัว
ทำให้อินเดียมีน้ำหนักการลงทุนในดัชนี MSCI EM Index สู่ระดับ 18.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนหุ้นจีนแม้จะยังมีน้ำหนักมากที่สุด แต่ถูกปรับลดลงมาเหลือ 25.4%
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีกระแสเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียราว 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเพิ่มน้ำหนักรอบนี้ของ MSCI
▪️ การเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อวัดกันที่ Macro Factor พบว่า IMF คาด Real GDP Growth ปี 2024 ของอินเดียอยู่ที่ 6.3% และจีนอยู่ที่ 4.2% เท่ากับว่าอินเดียโตแกร่งกว่าจีนถึง 2.1%
▪️ ภาพโครงสร้างระยะยาว
ยกต่อมาเป็นเรื่องของโครงสร้างระยะยาว ก็บอกว่าอินเดียยังมีความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนวัยทำงานของอินเดียที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับจีนที่ลดลง ซึ่งสัดส่วนวัยแรงงานอินเดียกำลังแซงจีนภายใน 2030 หลังจากที่ก่อนหน้านี้จำนวนประชากรทั้งหมดอินเดียแซงจีนไปแล้ว
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศมีสัดส่วนในอุตสาหกรรมแตกต่างกันชัดเจน โดยอินเดียมีสัดส่วนธนาคารและเทคโนโลยีสูงกว่า จีนมีสัดส่วนใน Consumer Discretionary และ Communication Service กว่าครึ่ง
ประเด็นแรกที่จุดให้จีนและอินเดียได้รับความสนใจขึ้นมาพร้อม ๆ กัน นั่นคือการที่ MSCI ประกาศเพิ่มน้ำหนักหุ้นอินเดียใน Global Standard Index จำนวน 5 ตัว และถอนหุ้นจีนออก 66 ตัว
ทำให้อินเดียมีน้ำหนักการลงทุนในดัชนี MSCI EM Index สู่ระดับ 18.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนหุ้นจีนแม้จะยังมีน้ำหนักมากที่สุด แต่ถูกปรับลดลงมาเหลือ 25.4%
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีกระแสเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียราว 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเพิ่มน้ำหนักรอบนี้ของ MSCI
▪️ การเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อวัดกันที่ Macro Factor พบว่า IMF คาด Real GDP Growth ปี 2024 ของอินเดียอยู่ที่ 6.3% และจีนอยู่ที่ 4.2% เท่ากับว่าอินเดียโตแกร่งกว่าจีนถึง 2.1%
ชัดเจนแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของอินเดียที่สูงกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจาก Manufacturing PMI และ Service PMI ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคอินเดียฟื้นตัวต่อเนื่อง
ฟากจีนกลายเป็นว่าไม่ได้เติบโตหวือหวาเหมือนในอดีตแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของรัฐบาลที่สามารถหยิบออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี Manufacturing PMI ของจีนกลับมาอยู่เหนือโซน 50 ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคแม้ช่วงที่ผ่านมาจะซึม ๆ แต่หลังปิดยาวตรุษจีน จะเห็นตัวว่าตัวเลขเหมือนจะฟื้นแล้ว ทั้งการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอยที่คึกคัก
▪️ ภาพโครงสร้างระยะยาว
ยกต่อมาเป็นเรื่องของโครงสร้างระยะยาว ก็บอกว่าอินเดียยังมีความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนวัยทำงานของอินเดียที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับจีนที่ลดลง ซึ่งสัดส่วนวัยแรงงานอินเดียกำลังแซงจีนภายใน 2030 หลังจากที่ก่อนหน้านี้จำนวนประชากรทั้งหมดอินเดียแซงจีนไปแล้ว
ในขณะเดียวกันจีนยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องหนี้นอกภาคการเงินที่เยอะกว่า โดยปริมาณหนี้ต่อ GDP เท่ากับ 310% อินเดียอยู่ที่ 180% รวมทั้งเรื่อง Geopolitical Risk ซึ่งกดดันจีนมาโดยตลอด
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศมีสัดส่วนในอุตสาหกรรมแตกต่างกันชัดเจน โดยอินเดียมีสัดส่วนธนาคารและเทคโนโลยีสูงกว่า จีนมีสัดส่วนใน Consumer Discretionary และ Communication Service กว่าครึ่ง
มาถึงปัจจัยสำคัญอย่าง Valuation ซึ่งเป็นตัวแปรที่หุ้นจีนดูจะชนะแบบขาดลอย เพราะทั้งหุ้นจีน A-Share หรือฮ่องกง H-Share ต่างถูกแล้วถูกอีก อยู่ในจุด Deep Discount Valuation หากลงทุน 12 เดือน มีโอกาสขาดทุนน้อยกว่า
ปัจจุบัน PE ของ MSCI China อยู่ที่ 8.6x HSI อยู่ที่ 7.5x ส่วน MSCI India สูงถึง 22.3x ซึ่ง Valuation ที่ไม่เคยถูกของหุ้นอินเดียนี่แหละ เป็นสิ่งที่หลายคนยังคิดไม่ตกว่าจะเข้าลงทุนกับตลาดแห่งนี้ดีไหม
สำหรับนักลงทุนที่สนใจทั้งสองตลาด Finnomena แนะนำ กองทุนจีน ABCA-A,K-CHINA,MEGA1OCHINA และ กองทุนอินเดีย แนะนำ B-BHARATATISCOINA-A