กองทุนวายุภักษ์ การันตีผลตอบแทนฉ่ำ 3 - 9% ต่อปี เปิดจอง 16 - 20 ก.ย. นี้

ความหวังการลงทุน ตัวการหลักดันหุ้นไทยพุ่งกระฉูดตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายน หลังจากที่กระทรวงการคลังเผยความชัดเจนในการขยายการลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ มูลค่า 1 - 1.5 แสนล้านบาท การันตีผลตอบแทนฉ่ำ 3 - 9% ต่อปี เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ  InnovestX Research

สรุปไว้ 10 ข้อดังนี้ 

1. กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง (Vayupak Fund 1) มีนโยบายลงทุนทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ระดับความเสี่ยงอยู่ที่ปานกลางค่อนข้างสูง 

2. นโยบายลงทุนแบ่งเป็น 3 ประเภท : หลักทรัพย์สภาพคล่อง, หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์, และหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัดส่วนการลงทุนตามประเภทหลักทรัพย์ (31 ส.ค.): หุ้นสามัญ 88.36%, พันธบัตร ธปท. 7.01%, ตั๋วเงินคลัง 1.48%

3. หลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยที่ลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก: PTT, SCB, TTB, KTB, BCP

4. แบ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเป็น 2 ประเภท: ประเภท ก. (นักลงทุนทั่วไป) และประเภท ข. (กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ)

5. ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับสิทธิในการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง อัตราผลตอบแทน 3 - 9% ต่อปี

6. ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับการคุ้มครองในกรณีที่กองทุนมีมูลค่าลดลง

7. เปิดจองซื้อสำหรับรายย่อยวันที่ 16 - 20 ก.ย. 67 และนักลงทุนสถาบันวันที่ 18 - 20 ก.ย. 67 หน่วยลงทุน VAYU1 จะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นวันที่ 15 ต.ค. 67 

8. InnovestX ประเมิน Upside ต่อ SET Index 50 - 80 จุด บนสมมติฐานวงเงิน 1 - 1.5 แสนล้านบาท คาดจะทำให้ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้น 3.0-4.4 หมื่นล้านบาท (อ้างอิงส่วนต่างช่วงก่อนจัดตั้งกองทุน 12 เดือน และหลังจัดตั้งกองทุน 3 เดือน)  และช่วยหนุน SET Index ได้ราว 50 - 80 จุด บนสมมติฐานผลตอบแทน 3 เดือนหลังจัดตั้งกองทุนในปี 2003 และสัดส่วนของวงเงินต่อมูลค่าตลาดของ SET Index 

9. InnovestX มองหุ้นที่ว่ามีโอกาสเข้าเกณฑ์การลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ ในมุมมองของเรา ได้แก่ ปันผลสูงกว่า 3.5% ต่อปี เพื่อสร้างกระแสเงินสดสำหรับผลตอบแทนขั้นต่ำต่อปี เป็นหุ้นใน SET 100 ที่มี ESG และ CG ซึ่ง ตลท. ให้ความสำคัญ และผลประกอบการปี 2025 มีแนวโน้มเติบโต ได้แก่ ADVANC BBL TTB KBANK KTB TCAP HMPRO BCP TOP BAM OSP SIRI AP LH และ PTT 

10. InnovestX มองความเสี่ยง ภาวะตลาดในปัจจุบันที่แตกต่างจากในปี 2003-2004 การเติบโต GDP ของไทยมากกว่า 6% เทียบกับปัจจุบันที่ 2 - 3% ทำให้การเติบโตของกำไรของบจ. อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า, ทางเลือกลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นเทียบกับไทยที่ไม่มีจุดเด่นในแง่การเติบโตเทียบกับในอดีต