สรยุทธ Return ดัน BEC บวกแรงต่อเนื่อง

Highlight

เราเห็นหลายธุรกิจที่บุคคลเพียงคนเดียว สามารถพลิกโฉมหน้าธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างมาก ถ้ามองในระดับโลก เราอาจนึกถึงบิล เกตส์ ของ Microsoft , วอร์เรน บัฟเฟตต์ ของ Berkshire Hathaway หรืออีลอน มัสก์ ของ Tesla หรือในเมืองไทย เราอาจเคยเห็นภาพ อิชิตัน หรือเถ้าแก่น้อย ซึ่งทั้งหมด ล้วนเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงหุ้น BEC แน่นอนว่าทุกคนจะนึกถึงสรยุทธ สุทัศนะจินดา ทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นของ BEC ด้วยซ้ำ แล้วทำไมสรยุทธถึงมีอิทธิพลกับ BEC ได้ถึงขนาดนี้ ? #ทันข่าวลงทุน รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์มีเรื่องนี้มาเสนอ คลิกอ่านกันได้เลย

BEC ที่ไม่มีพี่ยุทธ

แน่นอนว่าสรยุทธคือคนข่าวเบอร์ 1 ของประเทศแบบไร้คู่แข่ง แต่นับตั้งแต่สรยุทธถูกดำเนินคดี ซึ่งพอเหมาะพอเจาะกับช่วงขาลงของธุรกิจทีวีดิจิทัล ทั้งจากต้นทุนค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่สูง และการเข้ามาของสื่อดิจิทัลอื่น ๆ ที่เน้น On Demand เช่น แพลตฟอร์มการชมสื่อออนไลน์ ทั้ง YouTube Netflix ฯลฯ หุ้นผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล จึงแทบจะเรียกได้ว่าหมดเสน่ห์ไปโดยปริยาย และราคาหุ้นก็ร่วงมาเรื่อย จน BEC ลงไปทำจุดต่ำสุดเหลือแค่หุ้นละประมาณ 3 บาท เมื่อปลายเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว จากที่เคยขึ้นไปถึงเกือบ 80 บาท เมื่อต้นปี 2013


ซึ่งแน่นอนว่า การลงมาของราคาขนาดนี้ คงไม่ใช่เพราะการขาดสรยุทธแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปด้วย แต่เราคงเถียงไม่ได้ว่า BEC ที่ไม่มีสรยุทธ ก็เหมือนทีมบาร์เซโลนา ที่ไม่มีเมสซีเช่นกัน ทำให้หลายปีที่ผ่านมา BEC มีผลประกอบการที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นอย่างมาก และประสบปัญหาการขาดทุนมา 3 ปีติดต่อกันแล้ว


สรยุทธ Return

แต่แนวโน้มต่าง ๆ กำลังดีขึ้น และการกลับมาจัดรายการของสรยุทธก็น่าจะเป็นอีกแรงส่ง โดยผู้บริหารของ BEC เปิดเผยในงาน Opportunity Day ว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะพลิกกลับเป็นกำไรได้ จากปีก่อนที่ขาดทุน 214.25 ล้านบาท เนื่องจากไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุน TERO หลังจากขายเงินลงทุนไปแล้วในช่วงไตรมาส 4/63 และจากการปรับโครงสร้างภายใน ด้านภาพรวมต้นทุนลดลง


ดังนั้น ปีนี้คาดว่าภาพรวมรายได้จะเติบโต 10% ตามเม็ดเงินโฆษณาที่วางเป้าหมายการเติบโต 10% จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ทั้งปรับผังรายการข่าวช่วง พ.ค. ที่ผ่านมา สนับสนุนเม็ดเงินโฆษณาเข้ามา รายการข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ หลังจากมี นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กลับมาดำเนินรายการ ช่วยหนุน Utilization Rate มาอยู่ที่ระดับ 70-80% จากแต่เดิม 30-40% , รายได้คอนเทนต์เติบโต นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มคอนเทนต์ละครช่วงหัวค่ำเป็นละครใหม่ ซึ่งสนับสนุนเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากกว่าจากเดิมที่เป็นละครรีรัน


อีกทั้งมีรายได้จากการขายคอนเทนต์ไปต่างประเทศ (GCL) เพิ่มขึ้น หลังจากรุกตลาดที่มีกำลังซื้อมากขึ้น อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จากเดิมที่เน้นจีน ตั้งเป้าหมายปีนี้มีรายได้ 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสามารถปิดดีลกับลูกค้าได้แล้วกว่า 60% ส่วนรายได้จากดิจิทัลแพลตฟอร์มวางเป้ารายได้ 500 ล้านบาทเช่นกัน และในอนาคตบริษัทฯ คาดหวังจะมีสัดส่วนรายได้มาจาก GCL และดิจิทัลรวมกันมากกว่า 20% ของรายได้ทั้งหมด

#รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์คลิกอ่านทันข่าว