อ้าว ! BioNTech แจ้ง ไม่ได้ติดต่อกับโรงพยาบาลธนบุรี

HighLight

ข่าววัคซีนทางเลือกที่กำลังจะเข้ามาในเมืองไทย คาดว่าน่าจะช่วงปลายปี ไม่ได้สร้างความหวังให้กับคนไทยที่รอคอยวัคซีนอยู่เท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ราคาหุ้นของโรงพยาบาลที่เตรียมนำเข้าวัคซีนทางเลือกดังกล่าว ปรับเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย เพราะคาดกันว่า การฉีดวัคซีน น่าจะสร้างผลกำไรให้กับโรงพยาบาลไม่น้อย โดยเฉพาะกับ THG หรือเครือโรงพยาบาลธนบุรี  ที่มีกระแสข่าวว่าเตรียมนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ถึง 20 ล้านโดส แต่ล่าสุด กลับมีรายงานออกมาบอกว่า ไฟเซอร์ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว #ทันข่าวลงทุน รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์ ชวนคลิกอ่านเรื่องนี้กันครับ

ราคาหุ้น THG หรือ เครือโรงพยาบาลธนบุรี วันนี้ ราคาบวกอย่างร้อนแรง ราคาพุ่งแรง 14% ในช่วงเที่ยง รับข่าวหลังเตรียมเซ็นสัญญานำเข้าวัคซีน แต่ในภาคบ่ายราคากลับลดลงมา ปิดที่ 31.50 บาท ยังบวกได้ 5.88%


ซึ่งราคาที่ปรับขึ้นมาก็สืบเนื่องจากข่าวที่ว่า โรงพยาบาลธนบุรีจะเซ็นสัญญากับตัวแทนในสหรัฐฯ เพื่อสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 ของ BioNTech จำนวน 20 ล้านโดส


อย่างไรก็ดี สำนักข่าวรอยเตอร์ส ได้สอบถามไปยังบริษัท BioNTech ว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ ปรากฏว่าทาง BioNTech แจ้งกลับมาว่า ไม่ได้ติดต่อกับผู้ประกอบการของไทยรายใดเลย


ซึ่งทางรอยเตอร์สจึงได้สอบถามกลับมายังนายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้บริหารของเครือโรงพยาบาลธนบุรี ซึ่งหมอบุญก็ชี้แจงว่า ติดต่อไปจริง แต่เป็นการ “ติดต่อผ่านตัวแทน” ไม่ได้ติดต่อไปยัง BioNTech โดยตรง ซึ่งประเด็นนี้ทาง BioNTech ปฏิเสธที่จะให้คำตอบว่าจริงหรือไม่


ด้านนักวิเคราะห์ คุณกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ก็มองว่า ราคาหุ้น THG ปรับขึ้นมาแรงในวันนี้หลังรับข่าวการนำเข้าวัคซีนดังกล่าว  ตลาดมองในเชิงบวกต่อรายได้เพิ่มขึ้น จากความต้องการวัคซีนในตลาดยังมีอยู่มาก และอาจมีค่าดำเนินการเพิ่มเติมหากมีการกระจายวัคซีนต่อให้กับที่อื่น


อย่างไรก็ตาม มองว่า เป็นปัจจัยบวกระยะสั้น เนื่องยังไม่สามารถประเมินผลกระทบจากปัจจัยวันนี้ได้อย่างชัดเจน และในแง่ของผลการดำเนินงานของหุ้นได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่หนักและฟื้นตัวช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มโรงพยาบาลด้วยกัน อีกทั้ง ปัจจุบันด้วยราคาหุ้น THG ที่ปรับขึ้นมาสูงเกินมูลค่าเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ที่ 26.15 บาท ถือว่าต่ำกว่าราคาหุ้นในปัจจุบันพอสมควร


แนะนำว่า การเก็งกำไรจึงควรระมัดระวัง และส่วนใหญ่แนะนำเพียงถือ รวมถึงควรลงทุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลอื่นที่ผลประกอบการในปีนี้ฟื้นตัวชัดเจนกว่า เช่น BDMS และ RJH

#รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์คลิกอ่านทันข่าว