21 กันยายน 2564
1,211

ระเบิดเวลา..วิกฤตเอเวอร์แกรนด์ อสังหาฯยักษ์ใหญ่ของจีนผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้

ระเบิดเวลา..วิกฤตเอเวอร์แกรนด์ อสังหาฯยักษ์ใหญ่ของจีนผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้
Highlight

ระเบิดเวลา ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่อันดับ 2  ของจีน ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ล็อตแรกลุ้นระทึก 23 กันยายนนี้ โดยบริษัทมีหนี้สินรวม 10 ล้านล้านบาท


บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่ ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเมื่อวานนี้ สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก 

นอกจากนี้ เอเวอร์แกรนด์ยังได้แจ้งระงับการซื้อขายหุ้นกู้ภายในประเทศของทางบริษัท ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าอาจปูทางไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ หรืออาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้

รายงานข่าวระบุว่าบริษัทมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดในเดือนนี้ โดยมีกำหนดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2,780 ล้านบาท ในวันที่ 23 ก.ย ของหุ้นกู้ที่มีกำหนดครบอายุเดือนมี.ค.2565 และมีกำหนดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 47.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,580 ล้านบาท ในวันที่ 29 ก.ย.ของหุ้นกู้ที่ครบอายุเดือนมี.ค.2567

หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันในการชำระดอกเบี้ย มิฉะนั้นจะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ตกอยู่ในสภาพผิดนัดชำระหนี้ ทางบริษัทจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนต่ำ

ข้อมูลที่มีการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ระบุว่า เอเวอร์แกรนด์มีตราสารเชิงพาณิชย์มูลค่ารวม 2.057 แสนล้านหยวน (3.2 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือราว 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2563

มีการประเมินว่า ขณะนี้เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 10 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์กันอยู่บ้างแล้วว่า เอเวอร์แกรนด์อาจผิดนัดชัดชำระหนี้ได้ ทำให้นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดบอนด์ และยังมีส่วนทำให้ค่าเงินผันผวน แต่หุ้นโลกยังไม่ได้ปรับลดลงรุนแรง เอเวอร์แกรนด์เองก็ยังคาดหวังการเข้าช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน เพราะหากปล่อยให้มีปัญหาสภาพคล่องหรือผิดนัดชำระหนี้อาจจะส่งผลกระทบในวงกว้างเป็นโดมิโน่ต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์องจีนได้ และอาจลุกลามกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้นักวิเคราะห์สถานการณ์มอว่าอาจจะเป็นกรณี  “Too Big Too Fail” หรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทได้ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า บริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตกอย่างหนักเมื่อ 20 กันยายนที่ผ่านมา

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,970.47 จุด ลดลง 614.41 จุด หรือ -1.78% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,357.73 จุด ลดลง 75.26 จุด หรือ -1.70% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,713.90 จุด ลดลง 330.07 จุด หรือ -2.19% ตลาดหุ้นยุโรปลดเฉลี่ยประมาณ 1.8%

ในขณะที่หุ้นในจีน Evergrande ร่วงลง 12% หลังจากก่อนหน้านี้ลดลงไปมากถึง 19% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี

การลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ เดือนพ.ค.ปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการผิดนัดชำระหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

นายแลร์รี เบรนนาร์ด นักวิเคราะห์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ด ระบุว่า การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์จะทำให้วิกฤตการณ์ทางการเงินลุกลามออกไปจนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและกังวลว่าหากเอเวอร์แกรนด์ตกอยู่ในสภาพผิดนัดชำระหนี้ ทางบริษัทจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนต่ำ

มีการประเมินว่า ขณะนี้เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 10 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

สถานะทางการเงินของเอเวอร์แกรนด์เริ่มสั่นคลอน หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการควบคุมภาวะร้อนแรงของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสกัดการก่อหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่ในภาคดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ดิ่งลงอย่างหนัก ขณะที่นักลงทุนพากันเทขาย ท่ามกลางความไม่มั่นใจต่อสถานะทางการเงินของบริษัท

นอกจากเอเวอร์แกรนด์แล้ว นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 21-22 ก.ย. ซึ่งเฟดอาจส่งสัญญาณการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดแรงเมื่อวานนี้ และลดลงต่อเนื่องในช่วงเปิดเปิดตลาดเช้าวันนี้โดยลดลงถึง 11.25 จุดอยู่ที่ 1,591.81 จุด เช่นเดียวตลาดอื่นในเอเชีย ในขณะที่เริ่มฟื้นตัวในชั่วโมงถัดมา โดยเมื่อเวลา 11.00 น.ได้ฟื้นตัวกลับยืนเหนือระดับ 1,600 จุดอีกครั้ง ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.2 หมื่นล้านบาท 

ที่มา : infoquest, CNBC

ติดต่อโฆษณา!