ลงทุนแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุ กับโอกาสสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคง
Highlight
- 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจอี-คอมเมิร์ชเติบโตชนิดก้าวกระโดด ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งพัสดุเติบโตและมีอนาคตเช่นกัน
- BEST Express มีเป้าหมายต้องการให้ไทยเป็นฐานขยายธุรกิจขนส่งพัสดุในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเห็นว่ามีภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมจะเป็น Hub ของภูมิภาคนี้
- ผู้ที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ ค่าธรรมเนียมมีตั้งแต่ 500,000 บาท 1 ล้านบาท 2 ล้านบาท และ 3 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับการประเมินในแต่ละพื้นที่เศรษฐกิจไม่เหมือนกัน
ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจอี-คอมเมิร์ชเติบโตชนิดก้าวกระโดด ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งพัสดุเติบโตและมีอนาคตไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งคาดว่า “ขนส่งพัสดุ” จะเป็นสตาร์ที่น่าลงทุน สร้างความมั่นคงด้านรายได้ต่อไป
"BEST Express" (เบสท์ เอ็กซ์เพรส) เป็นแบรนด์ธุรกิจผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนสัญชาติจีนในรูปแบบแฟรนไชส์ 100% ที่เปิดให้บริการธุรกิจในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562 คุณเจสัน เชียน ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้บริหาร แฟรนไชส์ BEST Express ได้ให้สัมภาษณ์ คอลัมน์ “SME Talk” ถึงโอกาส เงื่อนไขการมาเป็นสมาชิกแฟรนไชส์ BEST Express
ทำไม “เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี” จึงขยายธุรกิจมาสู่เมืองไทย
“เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี” ที่ประเทศจีนมีวัตถุประสงค์ต้องการให้ไทยเป็นฐานขยายธุรกิจขนส่งพัสดุในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเห็นว่า ไทยมีภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมจะเป็น Hub ของภูมิภาคนี้ เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทั้ง CLMV และประเทศอื่น ๆ ในย่านอาเซียนด้วยกัน พร้อมกันนี้ไทยยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย
โมเดลการดำเนินธุรกิจในเมืองไทยเป็นอย่างไร
การทำธุรกิจของ "BEST Express" ดำเนินในรูปแบบของการขยายแฟรนไชส์ โดยมีแฟรนไชส์หลัก (First Franchise) ดูแลในขอบเขตพื้นที่ที่ได้ตกลงกับทางบริษัทไว้ ซึ่งจะพิจารณาจากความหนาแน่นของประชากร และการเป็นเขตเศรษฐกิจของชุมชนหรือไม่ ตัวอย่างเช่นในกรุงเทพฯ มีจำนวนประชากรมาก มีกิจกรรมทางธุรกิจมาก ขนาดของพื้นที่รับผิดชอบแฟรนไชส์หลัก ก็จะเล็กกว่าต่างจังหวัด แต่ถ้าเป็นเมืองท่าหรือเมืองท่องเที่ยวก็จะมีจำนวนแฟรนไชส์หลัก มากเช่นเดียวกัน แต่ไม่เท่ากรุงเทพฯ
ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของแฟรนไชส์หลักมีอะไรบ้าง
อำนาจหน้าที่ของแฟรนไชส์หลัก (First Franchise) คือเป็นทั้งจุดขารับและขากระจายพัสดุไปยังพื้นที่ของแฟรนไชส์หลักอื่นปลายทางที่ลูกค้าจ่าหน้าส่งพัสดุ พร้อมกันนี้ต้องมีพื้นที่คลังคัดแยกพัสดุอย่างน้อย 1,000 ตารางเมตร เพื่อเป็นพื้นที่รับพัสดุจากต่างพื้นที่มากระจายและจัดส่งไปยังผู้รับในพื้นที่ของตน รวมถึงยังทำหน้าที่บริหารแฟรนไชส์รอง (Sub Franchise) หน้าร้านรับพัสดุ (Shop) และ จุดรับพัสดุ (Drop point) ที่อยู่ในพื้นที่ของตนให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น ซึ่งแฟรนไชส์หลัก ที่มีความแข็งแกร่งและมีเงินทุนขยายสาขาก็ไม่จำเป็นต้องมีซัพแฟรนไชส์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพิจารณาของทางแฟรนไชส์หลัก แต่การมี Shop และ Drop point เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การกระจายการให้บริการสามารถครอบคลุมและทั่วถึง และสะดวกกับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการจัดส่งพัสดุในพื้นที่ใกล้บ้าน
คุณสมบัติของแฟรนไชส์หลักมีอะไรบ้าง
คุณสมบัติที่สำคัญของแฟรนไชส์หลัก 1). จะต้องรู้จักโลจิสติกส์ในพื้นที่ของตนเป็นอย่างดี 2). มีประสบการณ์การบริหารทีมงาน 3). มีทักษะทางการตลาด 4).มีเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 5 ล้านบาท, เงินจัดตั้งบริษัท 5 ล้านบาท ไม่รวมเงินลงทุนสร้างคลังพัสดุ และหน้าร้านเพื่อให้บริการรับพัสดุ 5). มีความตั้งใจ มั่นใจว่าจะดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง เพื่อความยั่งยืนต่อไป 6). มีพื้นที่คลังพัสดุตั้งแต่ 100 - 1,000 ตารางเมตร 7) มีรถกระบะที่สามารถขนส่งพัสดุได้ไม่น้อยกว่าวันละ 2,000 ชิ้น
ส่วนค่าธรรมเนียมในการเข้าเป็นสมาชิกแฟรนไชส์หลัก (Franchise Fee)จะมีตั้งแต่ 500,000 บาท, 1 ล้านบาท, 2 ล้านบาท และ 3 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับการประเมินในแต่ละพื้นที่เศรษฐกิจไม่เหมือนกัน ซึ่งหลัก ๆ แล้วค่าใช้จ่ายของแฟรนไชส์หลักประกอบด้วย 1.ค่าแฟรนไชส์ จะเก็บค่าเข้าร่วมเพียงครั้งเดียว , 2.ค่าประกันความเสี่ยง ประกอบไปด้วย การตรวจสอบ ค่าค้ำประกัน ค่าการันตี และเงินมัดจำ โดยทั้งหมดนี้ ทางเบสท์เอ็กซ์เพรสจะคืนให้หลังยกเลิกสัญญา, 3.ค่าประกันตกแต่งร้าน โดยจะคืนเงินให้หลังผ่านการตรวจสอบว่าผ่านตามมาตรฐานการตกแต่งของเบสท์ เอ็กซ์เพรส
ส่วนแฟรนไชส์รอง หน้าร้าน และ Drop Point ทำหน้าที่อะไรบ้าง
"แฟรนไชส์รอง" ทำหน้าที่คล้ายกับแฟรนไชส์หลัก เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องมีคลังคัดแยกพัสดุ อำนาจหน้าที่ ค่าธรรมเนียม ตลอดจนส่วนแบ่งรายได้ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับแฟรนไชส์หลัก มอบหมายหรือแล้วแต่ตามตกลง
หน้าร้าน (Shop) จะต้องตกแต่งร้านให้เป็นแพลทเทิร์นของ BEST Express และทำหน้าที่้เป็นหน้าร้านเพื่อรับพัสดุที่ลูกค้ามาส่ง การทำงานขึ้นตรงกับแฟรนไชส์หลัก หน้าที่และรายได้ขึ้นอยู่กับการตกลงกับแฟรนไชส์หลัก
จุดรับพัสดุ หรือ Drop point ไม่จำเป็นต้องทำหน้าร้านเป็นแบบ BEST Express เพียงแต่รับธง ป้ายไวนิล สติ๊กเกอร์ไปติด เพื่อเป็นหน้าร้านในการรับพัสดุในชุมชนขนาดเล็ก เช่นเดียวกัน การทำงานและข้อตกลงต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับแฟรนไชส์หลัก ในพื้นที่เป็นผู้กำหนด
คนที่ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับการสนับสนุนอย่างไรบ้างจากบริษัทแม่
“เบสท์ เอ็กซ์เพรส” ได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามามีส่วนช่วยในการจัดการระบบโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งมากขึ้น เช่น
- บริการ BEST2D Booking หรือ เบสท์ ทู ดอว์ บุ๊กกิ้ง (บริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้านฟรีไม่มีขั้นต่ำ)
- บริการ BEST Tracking Alert (บริการแจ้งเตือนสถานะพัสดุอัตโนมัติผ่าน LINE Official Account)
- บริการ BEST Multiple Parcel (ส่งพัสดุหลายกล่องใน 1 เวย์บิล สู่ปลายทางเดียว)
- บริการ BEST Big Parcel (ส่งพัสดุชิ้นใหญ่ได้สูงสุด 100 กิโลกรัม)
- บริการ BEST COD 2% (เก็บเงินปลายทางโอนไวภายใน 1 วัน ผ่านธานาคารกสิกรไทย)
- บริการ BEST Cross Border (ส่งพัสดุข้ามประเทศไทยไปมาเลเซีย)
- บริการ BEST Express Application (การให้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนแฟลตฟอร์มมือถือทั้งระบบ iOS และ Android) เป็นต้น
ทางบริษัทยังมีเงินสนับสนุนในการทำกิจกรรมการตลาดอย่างสม่ำเสมอ หากทำ KPI ได้ตามที่บริษัทกำหนด โดยจากสถิติของการดำเนินธุรกิจของแฟรนไชส์หลัก ที่ผ่านมาจุดคุ้มทุนจะอยู่ระหว่าง 1-4 เดือน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการ ส่วนรายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของพัสดุที่เข้ามา จากค่าเฉลี่ยนของแฟรนไชส์หลัก ที่ผ่านมาตกวันละอย่างน้อย 1,000 ชิ้น ตกรายได้วันละ 15,000 บาท
สำหรับผู้สนใจลงทุนเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ เปิดแฟรนไชส์หลักกับ เบสท์ เอ็กซ์เพรส สามารถติดต่อขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแฟรนไชส์ที่ LINE Official Account : @BESTFSCENTER (มี@ด้วย) หรือคลิก https://line.me/ti/p/~@BESTFSCENTER
ปัจจุบัน BEST Express มีกี่สาขา และมีเป้าหมายในอนาคตอย่างไรบ้าง
"BEST Express” ปัจจุบันนี้มีแฟรนไชส์กว่า 1,000 แห่ง กระจายทั่ว 77 จังหวัด เป้าหมายระยะสั้นของธุรกิจ BEST Express ต้องการเป็นธุรกิจด้านขนส่งพัสดุใหญ่เป็นอันดับ 1ใน 3 ของไทย ที่มีความยั่งยืนและมั่นคง มีเครือข่ายแฟรนไชส์ไม่น้อยกว่า 2,000 สาขาในปี 2565 ขยายการให้บริการขนส่งพัสดุขนาดใหญ่ ด้วยเห็นว่าตลาดนี้มีคู่แข่งไม่มาก และมีศักยภาพสูงที่จะขยายตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบอาเซียนด้วยกัน นอกจากนี้เป้าหมายในระยะยาวต้องการขยายสาขาการจัดตั้งธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนหาแฟรนไชส์หลักที่ท้องถิ่นนั้น ๆ หรืออาจเป็นการขยายการลงทุนจากแฟรนไชส์หลักที่มีศักยภาพในเมืองไทยไปสู่อาเซียน
นอกจากนี้ในแง่ของประสิทธิภาพ" BEST Express” มีขีดความสามารถจัดส่งพัสดุในปี 2563 จำนวนประมาณ 240,000 ชิ้นต่อวัน ปี 2564 สามารถจัดส่งได้มากกว่า 400,000 ชิ้นต่อวัน ตั้งเป้าหมายว่าปี 2565 จะต้องให้ได้ 1 ล้านชิ้นต่อวัน สร้างมูลค่ารายได้การขนส่งพัสดุจาก 2,100 ล้านบาทในปี 2563 และตั้งเป้าว่าในปี 2565 จะต้องได้ 3,300 ล้านบาท โดยรักษาการเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 6% ซึ่งการขยายเครือข่ายแฟรนไชส์นับเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะให้ถึงเป้าหมายนั้น
อนึ่ง จากข้อมูลของไพรซ์ซ่าพบว่า ในปี 2020 มีพัสดุที่เข้ามายังตลาด E-Marketplace (โดยเฉพาะ Lazada Shoppee และ JD Central) กว่า 230 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นถึง 32% มีร้านค้า (ผู้ขาย) เพิ่มสูงขึ้นถึง 50% โดยปัจจุบันมีร้านค้าและแบรนด์ในตลาดอีมาร์เก็ต (นับบน LazMall และ ShopeeMall) สูงถึง 5,000 ร้านค้า ส่งผลให้ยอดจัดส่งพัสดุโดยรวมมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 4 ล้านชิ้นต่อวัน จึงนับได้ว่าธุรกิจขนส่งพัสดุเป็นอีกหนึ่งธุรกิจระดับดาวเด่นสำหรับ SME ไทย