เส้นทางอันท้าทายของผักโขมอบชีส Reo's Deli จาก Home Made สู่ Hero Product ปั้นรายได้กว่า 100 ล้านต่อปี
Highlight:
1. Timing is the key Success จังหวะเวลาที่เหมาะสมเป็นกุญแจของความสำเร็จ
2. ตั้งโจทย์ธุรกิจให้ท้าทายไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไปเรียนรู้แก้ไขปัญหาจาก Step by Step เพิ่มพูนความรู้จากสิ่งที่ทำ
3. Business is Like a Game ทำธุรกิจให้สนุกเล่นให้อยู่รอดเรียนรู้จากความผิดพลาดเล่นอย่างไรไม่ให้ล้มกระดาน
จุดกำเนิดของ Reo's Deli เริ่มต้นจากคุณชณา วสุวัต ผู้ก่อตั้งบริษัท แวลู ซอร์สซิ่ง จำกัด ตัดสินใจอยากจะเป็นนายของตัวเอง ไม่ต้องการอยู่ใน Comfort Zone มาเป็นเถ้าแก่จนประสบความสำเร็จที่พร้อมจะก้าวไปสู่ตลาดต่างประเทศ “ทันข่าว Today” สัมภาษณ์พิเศษ ถึงเส้นทางอันท้าทายของ Reo's Deli
จุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ Reo's Deli มาจากไหนคะ
เริ่มต้นจากเพื่อนสนิทเปิดร้านขายกาแฟในห้างเซ็นทรัลเวิร์ด อยากจะให้ลองนำผักโขมอบชีสมาทดลองขายที่ร้าน ปรากฏว่าทำไปประมาณ 30 กล่อง วันแรกก็ขายได้หมด จึงเป็นกำลังใจและจุดประกายอยากทำขายเป็นธุรกิจที่จริงจังมากขึ้น
พอตัดสินใจว่าต้องการทำเป็นธุรกิจ จึงได้หันมาศึกษาโครงสร้างต้นทุน ออกแบบบรรจุภัณฑ์ วางแผนการลงทุนให้ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดและหาช่องทางขาย จึงได้นำสินค้าไปนำเสนอให้แม็กซ์ แวลูทางห้างก็เปิดโอกาสให้มาวางได้ แต่ต้องไปขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารกับสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ก่อนครั้นพอทุกอย่างพร้อม จึงได้จัดทำผักโขมอบชีส Reo's Deli จำนวน 300 กล่อง ปรากฏขายหมดในวันแรก จึงได้วางแผนการจัดส่งเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แรก ๆ มีหลายชนิดประกอบด้วย ผักโขมอบชีสหน้าธรรมดา, หน้าเห็ด ,หน้าเบคอน ,ลาซานญ่าหน้าผัก,หน้าหมู,หน้าเนื้อ พอขายได้สัก 2 ปี สถิติจากยอดขายปรากฎว่าผักโขมขาย 2 ชิ้น จะขายลาซานญ่า 1 ชิ้น จึงได้ตัดสินใจไม่ขายลาซานญ่า และบุกแต่ผักโขมอย่างเดียว จนต่อมาเป็น Hero Product
จุดก้าวกระโดดของกิจการมีตอนไหนบ้างคะ
ธุรกิจของ Reo's Deli มีจุดก้าวกระโดดที่สำคัญหลายครั้ง เริ่มจากการขายที่แม็กซ์ แวลู แล้วนำเข้าขายใน Top Supermarket ซึ่งทั้งหมดมีสาขาที่ขายได้ประมาณ 100 สาขา ทำให้ Reo's Deli ต้องกลับมาพัฒนาการผลิตจากเดิมที่มีอายุของสินค้า 5 วันมาเป็น 10 วัน การขยายตัวในครั้งนี้ส่งผลให้ยอดขายผักโขมอบชีส Reo's Deli เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 500 กล่อง
จุดก้าวกระโดดครั้งที่ 2 คือการเข้าสู่ร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทที่มีสาขาประมาณ 1,000 แห่ง เท่ากับเป็นการเพิ่มศักยภาพขึ้นไปอีก 10 เท่าตัว ทำให้ต้องหันมาวางแผนด้านกระบวนการผลิต และการทำการตลาดใหม่เพื่อให้ลูกค้ารู้จักและเข้าถึงสินค้าให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นการผลิตในปริมาณมาก ๆ อาจกลายเป็นจุดสูญเสีย และเป็นจุดอันตรายของสินค้าและธุรกิจได้
เรื่องของกระบวนการผลิตแก้ไขได้ไม่ยากนักสำหรับการเข้าสู่ตลาดแฟมิลี่มาร์ท แต่การทำการตลาดที่ต้องป้อนสาขาที่เพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว เป็นเรื่องยาก เพราะหากใช้การโฆษณาแบบเดิม ๆ ผ่านทางนิตยสาร หนังสือพิมพ์ เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก พอดีกับช่วงนั้นเฟซบุ๊กเริ่มเข้ามาใหม่ ๆ จึงไปอบรมการทำการตลาดบนออนไลน์ ปรากฎว่านี่คือจุด Brake Point ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงเป้าหมายโดยเสียค่าโฆษณาน้อยมาก ซึ่งเป็นสื่อใหม่และทรงประสิทธิภาพในเวลาต่อมา
ผมใช้ Content เจาะในแต่ละกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน และยิ่งโฆษณาด้วยความแม่นยำ ปรากฏว่าบาง Content มีคนเข้ามากด Like กว่า 2 แสนคน ส่งผลให้เราจัดส่งจาก 100 สาขา มาเป็น 700 สาขา และขยับขึ้น 1,100 สาขาอย่างไม่ยากเลย
ผมมีความเชื่อว่า Timing is the key success ในธุรกิจของผม จังหวะ เวลาที่เหมาะสม เป็นกุญแจของความสำเร็จ จากความสำเร็จอันนี้ ทางแฟมิลี่มาร์ทเสนอผมให้เข้าไปทำ House Brand แต่ผมมองแล้วว่าหากเราต้องใช้กำลังการผลิตให้กับแฟมิลี่มาร์ท เราก็จะไม่มีกำลังการผลิตที่เพียงที่จะขยายธุรกิจภายใต้แบรนด์ Reo's Deli จำเป็นต้องหาช่องทางการวางสินค้าใหม่ จึงเข้าไปเจรจากับทาง 7-Eleven สิ่งที่ 7-Eleven ต้องการให้เราปรับปรุงคือเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์จากกระดาษเป็นพลาสติก ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตผักโขมอบชีสต้องเปลี่ยนจากอบมาเป็นผัด เพราะพลาสติกไม่สามารถเข้าตู้อบได้ จากการปรับกระบวนการผลิต ทาง 7-11 ได้มอบรางวัล Innovation Product Award
จุดก้าวกระโดดครั้งที่ 3 คือการขยายโรงงานไปนิคมอุตสาหกรรม เดิมโรงงานที่ทำอยู่ในบริเวณบ้าน แต่เมื่อกำลังการผลิตที่ขยายอย่างต่อเนื่องโรงงานที่มีอยู่เริ่มไม่รองรับ ผมยอมรับว่าการลงทุนขยายโรงงานนั้นเป็นสิ่งที่กังวลมากครั้งหนึ่งในการทำธุรกิจของผม เพราะที่ผ่านมา Reo's Deli ไม่เคยกู้เงินจากสถาบันการเงินมาทำธุรกิจ การต้องกู้เงินกว่า 15 ล้านบาทมาทำโรงงานถือว่าเป็นจุดเสี่ยงสำคัญของกิจการ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้กล้าตัดสินใจขยายโรงงานคือกระบวนการวิเคราะห์ความเสี่ยง โดยนำปัญหาสิ่งที่เราวิตกกังวลมาแยกเป็นข้อ ๆ แล้วหามาตรการแก้ปัญหา หาทางออกและป้องกัน
ปรากฏว่าสิ่งที่เรากังวลทั้งหมดสามารถควบคุมได้ จึงตัดสินใจขยายโรงงานทำให้ Reo's Deli สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจาก 6,000 กล่องต่อวันเป็น 20,000 กล่องต่อวัน ขยายการรองรับเข้าสู่สาขาต่าง ๆ ของ 7-Eleven จาก 4,000-12,000 สาขา นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะทำรายได้ให้กับกิจการเมื่อปี 2563 เป็นจำนวนเงิน 82 ล้านบาท กำไร 8 ล้าน ตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปีครึ่งสามารถคืนทุนจากการลงทุนทำโรงงานได้ และตั้งเป้าระยะยาวว่าภายในปี 2567 ต้องทำรายได้ต่อปี 1,000 ล้านบาท และวางแผนการส่งออกอาหารแช่แข็งไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี โดยเน้นทำอาหารไทยเพื่อการส่งออกเป็นหลัก
มีการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ท้องตลาดหรือไม่คะ
มีครับ ในวันที่ 21 กันยายนนี้ จะมีตัวใหม่ที่อยู่ภายใต้แบรนด์ Reo's Deli ออกสู่ท้องตลาด เป็นมักกะโรนีชีสเบคอน ตัวนี้จะออกมาตอบสนองสำหรับกลุ่มที่ไม่นิยมรับประทานผัก ที่ผ่านมาจากการสำรวจพบว่ามีผู้ชายกว่า 60% ไม่นิยมรับประทานผัก แต่นิยมรับประทานเนื้อ จึงได้ทำมักกะโรนีชีสเบคอนออกมาเพื่อตอบสนองคนในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่การวางบนShelf ให้สะดุดตามากขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการมองเห็นเพิ่มยอดขายซึ่งกันและกัน
อะไรคือกุญแจความสำเร็จของ Reo's Deli คะ
ประการแรกในการทำธุรกิจของผม เงินไม่ใช่ตัวตั้ง แต่ทำแล้วได้เงินนับเป็นผลพวงที่ดี แต่สิ่งที่ผมทำคือ ผมมีความสุขในการทำอาหารให้คนรับประทานแล้วมีความสุข ผลสำเร็จจากตรงนี้ทำให้ผมมีกำลังที่จะลุกขึ้นมาทำงานได้ทุกวัน โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและสนุกกับมัน
ประการที่สองคือการมี Mindset ว่าการทำธุรกิจนั้นต้องเดินอย่างมีเป้าหมาย
ประการที่สาม ตั้งโจทย์ของธุรกิจให้ท้าทาย ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป เรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาจาก Step by Step แล้วเพิ่มพูนความรู้จากสิ่งที่ทำ
ในความคิดเห็นของผม Business is Like a Game ทำธุรกิจให้สนุก เพลิดเพลิน เล่นให้อยู่รอด สร้างคุณค่าเพิ่ม เรียนรู้จากความผิดพลาด เล่นอย่างไรไม่ให้ล้มกระดาน
การทำธุรกิจไม่ควรนำความสำเร็จในอดีตมาเป็นตัวตั้ง ธุรกิจที่ดีต้องหาน่านน้ำใหม่อยู่เสมอ สร้างใหม่ออกจากพื้นที่ Comfort Zone เพื่อหาความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ให้ธุรกิจ
ท้ายสุดความสำเร็จ Reo's Deli ผักโขมอบชี้ส ที่กำลังวางเป้าหมายยอดขายสู่ 1,000 ล้านบาทต่อปีใน 3 ปีข้างหน้าและเตรียมขยายไปยังตลาดต่างประเทศ นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวสำคัญสู่การเติบโตในตลาดโลกต่อไป