TDRI เผยโลกหลังโควิดจะเปลี่ยนไป 8 เมกะเทรนด์กำลังมา เตือนรัฐเอกชนรับมือ!!
Highlight
TDRI ชี้โลกหลังโควิดไม่เหมือนเดิม เตรียมรับ 8 เทรนด์ใหญ่ที่กำลังมา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการลงทุน เตือนรัฐและเอกชนรับมือและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงนี้ และคาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐและจีนเริ่มฟื้นตัวในปีนี้ สำหรับไทยคาดฟื้นตัวในปี 2566 หรือใช้เวลาอีก 2 ปี สำหรับ 8 เมกะเทรนด์ที่กำลังมาประกอบด้วย สงครามเทคโนโลยีและสงครามการค้า, เทคโนโลยีที่กำลังมาในอีก 10 ปีข้างหน้า, Digitalization, Digital Asset, De-Carbonization,เทรนด์ของ ESG, สัดส่วนของประชากรสูงวัยในโลกเพิ่มขึ้น และ ความเหลื่อมล้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นางกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวใน งาน SET in the City 2021 เทรนด์ชีวิต เทรนด์ลงทุน เมื่อ 20 พ.ย. ภายใต้หัวข้อ "เศรษฐกิจ การลงทุน ความท้าทาย ในปี 2022" ว่า หลังโควิดโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 8 เทรนด์ใหญ่ที่กำลังมาจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการลงทุนในอนาคตหลังโควิด มีดังต่อไปนี้คือ
จับตา 8 เทรนด์ใหญ่กำลังมา
1. สงครามเทคโนโลยีและสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐและจีน ยังคงดำเนินต่อไป และอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น เห็นได้จากจะมีการกีดกันเทคโนโลยีของจีนค่อนข้างมาก ห้ามธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับ Semiconductor ขายชิ้นส่วนให้โรงงานผลิตสินค้าในจีน ส่งผลให้ซัพพลายขาดตลาด เป็นต้น
2. เทคโนโลยีที่กำลังมาในอีก 10 ปีข้างหน้า ได้แก่ AI, QUANTUM COMPUTING, Regenerative Medicine, Autonomous CARS, Blockchain, Cyber Security, VR, Lithium Battery, Drones, Conductive polymers ซึ่งจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ จีนเป็นผู้นำอยู่ ทำให้สหรัฐน่าจะยังไม่หยุดที่จะยับยั้งการขยายตัวของเทคโนโลยีจีน โดยไทยถือเป็นผู้ใช้เทคโนโลยี อาจจะต้องซื้อเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีผลดีจากการที่ทั้งสองประเทศยักษ์ใหญ่ทำสงครามเทคโนโลยีกัน ทำให้บริษัทต่างๆ ที่อยู่ในจีน กำลังจะย้ายออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงเศรษฐกิจจีนก็จะเติบโตช้าลงด้วย จากนโยบายที่อยากจะให้บริษัทต่างๆ ของจีนเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่ๆ อย่างเดียว และการขาดแคลนพลังงานด้วย ทำให้หลายๆ บริษัท หลายๆ โรงงานในจีนต้องปิดโรงงาน ส่งผลให้มีซัพพลายออกมาน้อยลง จึงมีการกระจายความเสี่ยงออกจากประเทศจีนมากขึ้น หรือย้ายมายังประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม และไทยเอง ที่จะได้รับอานิงสงส์เป็นอันดับสอง โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนของประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน ที่เข้ามาในธุรกิจยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น
3. Digitalization จะเร่งขึ้น ทั้ง Online Commerce/service, From-home Economy, Telemedicine
4. Digital Asset ได้รับการยอมรับมากขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น การระดมทุนในรูปดิจิทัล, สกุลเงินดิจิทัล เป็นต้น
5. De-Carbonization จะเปลี่ยนรูปแบบการผลิต ซึ่งในโลกอนาคต โดยเฉพาะโลกตะวันตกต้องการที่จะให้โลกมีการปล่อยคาร์บอนลดลง จากความต้องการสินค้าชีวภาพในโลกเพิ่มขึ้น
6. เทรนด์ของ ESG (กรอบการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ Environmental, Social, and Governance) ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น
7. สัดส่วนของประชากรสูงวัยในโลกเพิ่มขึ้น โดยไทยเองก็จะเข้าสู่สังคมสูงวัยในปี 65 อย่างเต็มรูปแบบ หรือมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปี คิดเป็น 20% ของประชากรของประเทศ และยังมีอีกหลายประเทศในโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้เป็นโอกาสอันดีของไทยที่จะปรับสินค้าและบริการของไทยให้เข้ากับเทรนด์ดังกล่าว ขณะที่ภาครัฐเองก็น่าจะเป็นความท้าทายในการบริหารจัดการในสภาวะที่จะมีแรงงานน้อยลง
8. ความเหลื่อมล้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และจะตามมาด้วยความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
นางกิริฎา กล่าวว่าทิศทางเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้วในปีนี้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา และจีน เห็นได้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่เติบโตราว 6% จากปกติเติบโตราว 2% ขณะที่จีนเติบโตต่อเนื่อง 8%
ทั้งนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง โดยโอกาสคือความสามารถในการส่งออกสินค้าได้มากขึ้น และการลงทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามามากขึ้น แต่ความเสี่ยงคือเรื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาน้ำมัน หรือราคาวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งหาก ราคาดังกล่าวจะไม่กลับลงมาสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 รวมถึงค่าระวางเรือ ที่อยู่ในระดับสูง จากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นมาก
ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาดูเรื่องของค่าเงิน และอัตราดอกเบี้ยคาดว่าสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 และการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE จะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้า (2565) ซึ่งจะส่งผลให้เงินสกุลดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลง โดยคาดการณ์ค่าเงินบาทในปีหน้า (2565) จะแข็งค่าขึ้นไม่มาก อยู่ที่ 32.00 บาท/ดอลลาร์ และเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาคค่าเงินบาทจะอ่อนค่าที่สุด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ส่งออก
การนำเข้าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันในปี 2565 จะอยู่ที่ 72 ดอลลาร์/บาร์เรล อ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีนี้ที่อยู่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล และคาดว่า คาดว่า GDP ไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2566 หรือคาดเติบโต 3.5% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่เติบโต 2.3% การส่งออกคาดว่า ปีนี้โต15% ปี หน้าโต 10%
ส่วนภาคการท่องเที่ยว ก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวราว 39 ล้านคน หรือคิดเป็น 12% ของ GDP น่าจะกับมาที่เดิมได้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป แต่การท่องเที่ยวในประเทศจะฟื้นตัวได้ก่อน คาดว่าจะกลับไปสู่ระดับก่อนโควิด-19 ได้ในปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566
ส่วนมาตรการการคลังของรัฐบาลน่าจะยังคงเน้นการเยียวยาและกระตุ้นการบริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการต่างๆ เช่น คนละครึ่ง, เราเที่ยวด้วยกัน, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น