28 พฤศจิกายน 2564
4,392

Metaverse โลกใบใหม่ที่ทุกคนต้องรู้

Metaverse โลกใบใหม่ที่ทุกคนต้องรู้
Highlight

รู้จัก Metaverse-เมทาเวิร์ส ซึ่งเป็นคำที่กล่าวขานกันมากที่สุดในเวลานี้ ว่าสิ่งนี้จะเป็นเทคโนโนโลยีสุดล้ำ สามารถสร้างโลกเสมือนที่ผสมผสานสภาพแวดล้อมของโลกจริง โดยอาศัยเทคโนโลยี Augmented  Reality (AR) และ Virtual Reality (VR)  เพื่อทำให้ชุมชนโลกเสมือนจริงเชื่อมโยงกับโลกที่เราอยู่แบบไร้รอยต่อ รองรับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์ในโลกยุคอนาคต และคาดว่าจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอีกมหาศาล เพราะบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Facebook, Microsoft, Tencent และอีกหลายบริษัทประกาศว่า อยู่ระหว่างการลงทุนและพัฒนาระบบ ซึ่งเราจะได้เห็นกันในอนาคตอันใกล้นี้


เชื่อว่าช่วงนี้หลาย ๆ คนคงเคยได้ผ่านตา ได้ยินคำว่า “Metaverse” (เมทาเวิร์ส)  กันบ่อยขึ้น เพราะเทคโนโลยีดังกล่าวกำลังเป็น “Talk of the town” แบบสุด ๆ เนื่องจาก มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งบริษัท Facebook ประกาศว่ากำลังให้ความสำคัญกับโลก Metaverse แถมเตรียมเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook มาเป็น “Meta” อีกด้วย

ลองนึกเล่นๆว่า Facebook ซึ่งปัจจุบันมีคนใช้งานกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก ชีวิตติดโชเชียลกันขนาดนี้ แล้ว Metaverse ที่เค้ากำลังพัฒนาอยู่ ที่เรียกว่า Virtual World หรือโลกเสมือนจริง จะน่าตื่นเต้นขนาดไหน การใช้งานก็ได้ฐานจาก user ใน Facebook ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยี Metaverse นี้ เช่น Microsoft และ Tencent ของจีนและแม้แต่บริษัทในประเทศไทยก็เริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มนี้กันแล้ว Metaverse จะเป็นมิติแห่งอนาคตที่น่าจับตามองเป็นที่สุด

20211128-a-03.jpg

Metaverse แปลว่าอะไร?

คำว่า “Metaverse” มาจากคำว่า Meta ที่แปลว่า “เหนือกว่า, พ้น, เกินขอบเขต” กับคำว่า Universe ที่แปลว่า “จักรวาล” ดังนั้นหากแปลตรงตัว Metaverse ถึงหมายโลกที่พ้นขอบเขตไปแล้ว หรือ จักรวาลที่พ้นขอบเขตที่เรารู้จัก แต่ในทางปฏิบัติ คำว่า “Metaverse” กลับเป็นการเรียกโลกเสมือนจริงที่พาผู้คนหรือผู้ใช้งานสามารถทำกิจกรรมและดื่มด่ำไปกับความสนุกอีกโลกหนึ่ง ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เหมือนเราอยู่อีกโลกนึง ใช้ชีวิตคล้ายกับอยู่บนโลกความเป็นจริง โดยการใช้ความเป็นจริงเสมือน Virtual Reality (VR) หรือเทคโนโลยีโลกเสมือนผสาน โลกแห่งความจริง Augmented  Reality (AR)

เพราะฉะนั้น Metaverse คือโลกเสมือนที่ผสานสภาพแวดล้อมของโลกจริง โดยอาศัยเทคโนโลยี AR และ VR เพื่อทำให้ชุมชนโลกเสมือนจริงเชื่อมโยงกับโลกที่เราอยู่แบบไร้รอยต่อ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์ในโลกยุคอนาคต

แนวคิดของ Metaverse มาจาก Jason Rubin เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Naughty Dog ในปี 1986 และโด่งดังในฐานะผู้สร้างเกม Crash Bandicoot เขาลาออกจาก Naughty Dog ในปี 2004 แล้วไปทำงานกับ THQ เป็นเวลาสั้นๆ ก่อนมาร่วมงานกับ Oculus ในปี 2014 จนถึงปัจจุบัน (ตำแหน่งปัจจุบันคือ VP Metaverse Content)
วิสัยทัศน์ของ Rubin ได้วาดภาพ “Metaverse” ออกมาเป็นการใช้ชีวิตในเมืองเสมือนจริง แต่งตัวอวตารของตัวเองได้ มีสกุลเงินเสมือน และเมื่อเจอกับคนอื่นที่น่าสนใจก็สามารถแต่งงานกันได้

20211128-a-01.jpg

เราจะเข้าสู่โลก Metaverse ได้อย่างไร?

เราสามารถเข้าถึงโลก Metaverse ได้ผ่านอุปกรณ์ 3 รูปแบบ

1. การใช้แว่น Oculus เพื่อให้เข้าถึงโลกของ VR (Virtual Reality) ทำให้เห็นภาพ 3 มิติ แบบเต็มตาในมุมมอง 360 องศา ซึ่งสามารถสัมผัสโลกเสมือนจริงได้มากที่สุด แต่ราคายังสูงอยู่ประมาณหลักหมื่นขึ้นไป

2. ใช้แว่น Ray-Ban หรือแว่นอื่น ๆ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลง รับสายโทรศัพท์ หรือถ่ายภาพและคลิปวิดีโอสั้นๆ แล้วแชร์ไปยังแอพโซเชียล นอกจากนี้สังแสดงผลการนำทางแผนที่ สภาพอากาศ ข่าวสาร เช็กโซเชียลมีเดียผ่าน AR บนตัวแว่นได้ด้วย ปัจจุบันราคาหลักพันถึงหลักหมื่นบาท และมีขายเฉพาะต่างประเทศ โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา

3. ใช้งานผ่านอุปกรณ์ทั่วไป เช่น คอมพิวเตอร์, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ผ่านแอพที่รองรับการทำงานเชื่อมต่อกับโลกเสมือน แม้อุปกรณ์ทำให้เราสัมผัสโลกเสมือนจริงได้น้อย แต่ก็สัมผัสกับโลกเสมือนจริงได้เช่นกัน เข้าถึงง่ายผ่านอุปกรณ์ทั่วไปที่เรามีอยู่นี่เอง

ทำไม “Metaverse” ถึงได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว?

เพราะในขณะที่ผู้คนโต้ตอบกันทางออนไลน์โดยการไปที่เว็บไซต์ เช่น แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือการใช้แอพพลิเคชั่นรับส่งข้อความ ในทางกลับกัน แนวคิดของ “Metaverse” คือ การสร้างพื้นที่ออนไลน์ใหม่ ซึ่งการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้คนจะสามารถมีหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถดำดิ่งไปกับโลกดิจิทัลได้มากกว่าเพียงแค่การนั่งดู

ความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเมตาเวิร์สนี้ เห็นได้จากผลลัพธ์ของการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เมื่อผู้คนต้องทำงานหรือเรียนผ่านทางออนไลน์ ความต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์ทางออนไลน์ให้เสมือนชีวิตจริงก็มากขึ้นตามไปด้วย

เห็นแบบนี้อย่านึกว่าเป็นเรื่องขำๆ เพราะเมื่อ 20 ปี ก่อนถ้ามีใครมาบอกเราว่าสามารถดูหนัง เล่นอินเทอร์เน็ต ผ่านโทรศัพท์มือถือ เราคงนึกในใจว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก  Metaverse ก็เช่นกัน ในอนาคตเราจะสามารถพูดคุย ท่องเที่ยว ซื้อขาย ครอบครองที่ดิน รวมถึงสินทรัพย์สินดิจิทัล เช่น NFT (non-fungible token) ในโลกเสมือน พร้อมใช้ชีวิตในโลกจริงผสมผสานไปด้วย

ลองนึกดูว่าจะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถพบเจอเพื่อน ๆ ที่อยู่คนละซีกโลกในรูปแบบภาพเสมือน แถมยังมีโอกาสชุบชีวิตคนที่เราคิดถึงมาพูดคุยในรูปแบบโปรแกรม หรือใช้ชีวิตแลกเปลี่ยน ค้าขาย วินิจฉัยโรค รวมถึงพรีเซนต์งาน ผ่านเทคโนโลยี AR และ VR นี่เป็นตัวอย่างพอคร่าวๆ เท่านั้น 

20211128-a-02.jpg

NFT มีบทบาทใน Metaverse อย่างไร ?

NFT (Non-Fungible Token) คือ ตัวอย่างของสินทรัพย์ที่จะมีการซื้อขายในระบบเศรษฐกิจของเมทาเวิร์ส และอาจจะมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายโดยใช้คริปโทเคอร์เรนซีมาเป็นสื่อกลาง NFT คือสินทรัพย์ที่มีความจำเพาะหรือลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีอะไรมาปลอมแปลงมันได้ เช่น ภาพเขียนศิลปะบนโลกดิจิทัลที่มีเพียงชิ้นเดียวหรือมีจำนวนจำกัด หรือแม้แต่กรรมสิทธิ์ที่ดินในโลกออนไลน์ ซึ่งในปัจจุบัน มีอุปสงค์ในการถือครองสินทรัพย์เหล่านี้เพิ่มขึ้นมาก แม้เราจะไม่สามารถจับต้องมันได้เลยก็ตาม! 

Metaverse มีประโยชน์อย่างไร?

ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ การมี Metaverse-เมทาเวิร์ส จะช่วยสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ของโลกใหม่ ซึ่งเป็นโลกเสมือนที่จะมีมูลค่าเพิ่มจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันที่เข้าไปอยู่ในโลกเสมือนนี้ โดยจะมีผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ คู่ขนานไปกับผู้ผลิตและนักพัฒนาที่จะเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มากมาย และจะเข้ามาสร้างนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ อาทิ การต่อยอดระบบการเงินในโลก DeFi การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบดิจิทัล ตลอดจนการสร้างที่พักผ่อนหย่อนใจรูปแบบใหม่ ๆ ให้กับผู้คนแบบเสมือนจริง เช่น การชมภาพยนตร์ คอนเสิร์ต หรือแม้แต่การสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ที่อยู่อีกฟากโลกหนึ่งแบบสามมิติก็เป็นได้

หลายๆคนอาจจะมองว่า Metaverse เป็นเรื่องเล่นๆของวงการเกมหรือทำเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ในอันที่จริง ยังมีการนำมาใช้ในแวดวงต่างๆ 

ด้านการแพทย์ : ใช้ในการผ่าตัดทางไกล, จำลองการผ่าตัดเสมือนจริง
ด้าน e-commerse : ใช้ในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์, จำลองใช้สินค้าโดยไม่ต้องไปที่ร้านค้า
ด้านการลงทุน : ใช้ในการซื้อสินค้า NFT ออนไลน์, เทรดคริปโตฯ
ด้านวิศวกรรม : ใช้ในการออกแบบหุ่นยนต์, ออกคำสั่งทางไกลในการปฏิบัติงาน

ผลทางลบของ Meteverse 

แม้ในแง่บวก Metaverse จะสามารถเป็นที่พักผ่อนสำหรับผู้คน แต่ในทางกลับกัน อาจกลับทำให้มนุษย์ “ฝังตัวเอง” อยู่ในโลกเสมือน และเกิดภาวะ “ซึมเศร้า” อย่างถลำลึกกว่าแต่ก่อน กล่าวคือ มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการใช้โซเชียลมีเดียมีผลต่อสุขภาพจิตที่แย่ลง อาทิ ทำให้เกิดอาการ FOMO (Fear of missing out) หรือ อาการกลัวตกกระแส ต้องใช้ชีวิตอยู่กับโลกออนไลน์อยู่ตลอดเวลา การเกิดความทุกข์ตรมทางจิตใจจากสภาวะความริษยาผ่าน Facebook (Facebook envy) เพราะเรามักจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ในโลกออนไลน์โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะการที่ได้เห็นการใช้ชีวิตหรูหราของคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น การอวดให้เห็นฐานะอันมั่งมีของตนจากการถือครอง NFT ผู้ใช้ที่ขาดสติจะยิ่งเกิดความโลภ โกรธ หลง อันอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าที่รุนแรงขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว

ดังนั้นสิ่งที่ควรคิดและมีสติคือ  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหรียญสองด้านเทคโนโลยีก็ เช่นกัน เราต้องเป็นผู้พัฒนา ควบคุมและใช้เทคโนโลยี แต่อย่าให้เทคโนโลยีมาควบคุมชีวิตเรา การมี “สติ” และ “ฉลาดใช้” รู้จักใช้อย่างสร้างสรรก็จะเกิดประโยชน์กับตนเองแะส่วนรวม

ที่มา : สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย, Daily News , SKY ICT Thailand

ติดต่อโฆษณา!