“ไทย” คว้าอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่น่า “ใช้ชีวิตหลังเกษียณ” และเป็นที่ 1 ของเอเชีย

“ไทย” คว้าอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่น่า “ใช้ชีวิตหลังเกษียณ” และเป็นที่ 1 ของเอเชีย
Highlight

นิตยสารอินเทอร์เนชันแนล ลิฟวิง (International Living) ยกไทยติดอันดับที่ 11 ของโลก และเป็นที่ 1 ของทวีปเอเชียในกลุ่มประเทศที่น่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ เนื่องจากค่าครองชีพที่ถูก และผู้คนเป็นมิตร เป็นประเทศที่อากาศดี อาหารอร่อย ค่ารักษาพยาบาลไม่แพงจนเกินไป กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และ อ.หัวหิน ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือหนึ่งในเมืองที่ได้รับความนิยมสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุด


ดัชนี Global Retirement Index ของอินเทอร์เนชันแนล ลิฟวิง ประจำปี 2022 ได้ทำการจัดอันดับ 25 ประเทศที่เหมาะจะใช้ชีวิตหลังเกษียณ โดยประเทศไทยติดอันดับที่ 11 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ด้วยคะแนน 72.9 ซึ่งเหตุผลหลักๆ คือ ไทยเป็นประเทศที่อากาศดี อาหารอร่อย ค่ารักษาพยาบาลไม่แพงจนเกินไป และผู้คนค่อนข้างเป็นมิตร จนทำให้ชาวต่างชาติจำนวนมากเลือกไทยเป็นบ้านหลังที่สอง

รายงานระบุด้วยว่า กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และ อ.หัวหิน ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือหนึ่งในเมืองที่ได้รับความนิยมสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุด และประเมินว่าคนโสดนั้นสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยได้อย่างสบายๆ ด้วยเงินเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ส่วนค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 400-500 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเท่านั้น

สำหรับประเทศที่คว้าอันดับ 1 ได้แก่ “ปานามา” โดยได้คะแนนไปถึง 86.1 ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงสุด มีค่าครองชีพที่จับต้องได้มากที่สุด และผู้คนเป็นมิตรมากที่สุด รองลงมาได้แก่ คอสตาริกา เม็กซิโก โปรตุเกส เอกวาดอร์ โคลอมเบีย ฝรั่งเศส มอลตา สเปน และอุรุกวัย

สำหรับเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ติดอันดับรองจากไทย ได้แก่ กัมพูชา (72.3) มาเลเซีย (72) เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย (69) และเวียดนาม (68.3)

ทั้งนี้ การจัดอันดับของอินเทอร์เนชันแนล ลิฟวิงได้พิจารณาถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น ค่าครองชีพ ที่อยู่อาศัย ความสะดวกในการขอวีซ่า ระดับการพัฒนา บริการด้านสุขภาพ สภาพอากาศ สิทธิพิเศษต่างๆ รวมถึงหลักธรรมาภิบาลและเป็นการเก็บข้อมูลจากผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จริง

ในช่วงกลางปี 2564 ที่ผ่านมา CNBC สื่อของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า บริษัทเครื่องมือค้นหาวันหยุดในเยอรมนี Holidu ได้รวบรวมรายชื่อเมืองชั้นนำทั่วโลกที่มีส่วนผสมระหว่างการทำธุรกิจและความสุข ซึ่ง Sarah Siddle ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาดของ Holidu ได้ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนวิธีการทำงานไปโดยสิ้นเชิง แสดงให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงาน 5 วันต่อสัปดาห์เพื่อทำงานเสมอไป เราอาจใช้เวลาที่ยาวนานขึ้นในจุดหมายปลายทางที่ต้องการ โดยไม่มีข้อจำกัดจากช่วงวันลาหยุดประจำปี

Holidu's Workation Index ปี 2021 ได้ทำการจัดอันดับ 150 เมือง ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดพักผ่อน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ตั้งแต่ค่าเช่ารายเดือนในอพาร์ตเมนท์แบบหนึ่งห้องนอน ค่าเครื่องดื่มหลังเลิกงาน จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดดในแต่ละวัน ความเร็วของ Wi-Fi และกิจกรรมการท่องเที่ยว รีวิวที่ได้คะแนน 4 ดาวขึ้นไปจากเว็บไซต์ BestCities.org และ tripadvisor.co.uk

โดย 10 อันดับแรก เมืองที่เหมาะสำหรับการ Workation ที่สุดในโลก ปี 2021 ได้แก่

1. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
2. นิวเดลี ประเทศอินเดีย 
3. ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส 
4. บาร์เซโลนา ประเทศสเปน 
5. บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
6. บูดาเปสต์ ประเทศฮังการี 
7. มุมไบ ประเทศอินเดีย 
8. อิสตันบูล ประเทศตุรกี 
9. บูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย 
10. ภูเก็ต ประเทศไทย

ทั้งนี้ กรุงเทพฯ ได้รับเลือกเป็นอันดับหนึ่งเช่นเดียวกัน ด้วยค่าครองชีพที่ไม่แพง มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษสูง มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย รวมถึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง

โดยผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาดของ Holidu ได้ให้ความเห็นว่า เมืองที่สามารถติดอันดับต้นๆ ได้ ส่วนมากมีค่าครองชีพไม่แพง ราคาที่พัก อาหาร และเครื่องดื่มมีความน่าดึงดูดใจ เหนือสิ่งอื่นใด เมืองเหล่านี้เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทุกแห่งมีสถานที่น่าทึ่ง และมีกิจกรรมให้ทำมากมาย

ส่วนเมืองใหญ่อื่นๆ เช่นเมืองในสหรัฐอเมริกา ไม่มีเมืองใดที่ติด 20 อันดับแรก โดยเมืองลอสแอนเจลิส อยู่ในอันดับ 30

นอกจากนี้ Holidu ยังมีการจัดอันดับในด้านอื่นๆ อีก อาทิ เมืองที่ดีที่สุดในการเชื่อมต่อ Wi-Fi  5 อันดับแรกคือ สิงคโปร์, ฮ่องกง, ซานฟรานซิสโก (สหรัฐอเมริกา), ซานดิเอโก (สหรัฐอเมริกา) และ ฟาโร (โปรตุเกส)

เมืองแห่งโค-เวิร์กกิ้ง สเปซ  5 อันดับแรก คือ ลอนดอน (อังกฤษ), นิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา), ฮ่องกง, นิวเดลี (อินเดีย) และ โตเกียว (ญี่ปุ่น)

เมืองแห่งกิจกรรมในช่วงวันหยุด 5 อันดับแรก คือ นิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา), ลอนดอน (อังกฤษ), มอสโก (รัสเซีย), ปารีส (ฝรั่งเศส) และ โรม (อิตาลี)

แนวโน้มการทำงานนอกสถานที่แบบนี้น่าจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมากที่ให้ความยืดหยุ่นในการทำงานของพนักงาน สามารถเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลานานได้ และมีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและการใช้ชีวิต

สำหรับคำว่า “Workcation” มาจาก 2 คำผสมกัน คือ Work + Vacation ที่เป็นการทำงานควบคู่ไปกับการพักผ่อน และการท่องเที่ยว โดยการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานที่จำเจในออฟฟิศหรือที่บ้าน มาเป็นการทำงานในสถานที่พักผ่อน โรงแรม รีสอร์ท คาเฟ่ ตามแหล่งท่องเที่ยวสงบๆ หรือตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสม จนเกิดคำกล่าวว่า Workcation ทำให้คนทำงานยุคนี้ส่วนหนึ่งสามารถทำงานที่ไหนในโลกก็ได้

ทั้งนี้ว่ากันว่าการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมมาทำงานต่างสถานที่ ในบรรยากาศที่รู้สึกผ่อนคลาย จะสามารถกระตุ้นไอเดีย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น (แต่นั่นไม่ได้หมายถึงทุกคน และไม่ใช่กับทุกประเภทของอาชีพสายงาน) 

น่าเสียดายที่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนทำให้การเดินทางทั่วโลกต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง แต่จากผลสำรวจนี้ พอจะทำให้เชื่อได้ว่า “ประเทศไทย” ยังคงเป็นที่หนึ่งในใจนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเสมอ หากสถานการณ์คลี่คลายลงเมื่อใด เราคงต้องเตรียมตัวต้อนรับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างดี..

ที่มา : International Living, Malay Mail

ติดต่อโฆษณา!