สิ่งที่จีนเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง สมัยที่ 3
Highlight
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเป็นสมัยที่ 3 พร้อมเปิดตัวสมาชิกคณะกรรมการสูงสุดของพรรคฯ หรือ โพลิตบูโร ทั้ง 7 คนซึ่งล้วนเต็มไปด้วยผู้ที่จงรักภักดีต่อประธานาธิบดีสี ในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ถือเป็นการรักษาฐานอำนาจที่ทำให้เขาเป็นผู้นำจีนที่ทรงอิทธิพลที่สุดนับตั้งแต่ เหมา เจ๋อตุง นโยบายที่ส่งสัญญาณให้โลกรู้ชัดเจน เช่น การเป็นจีนเดียว ประสิทธิภาพของกองทัพ การมุ่งสู่นวัตกรรมและเทคโนโลยี เป็นต้น
ภายใต้การปกครองของปธน.สี จีนเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ทั้งในประเทศและในบริบทระดับโลก การครองตำแหน่งผู้นำสูงสุดอย่างยาวนาน ขยายและ สานต่อนโยบายในหลายด้าน สิ่งที่เปลี่ยนไปภายใต้การบริหารของ ปธน.สี จิ้นผิง รอยเตอร์รวบรวมไว้ดังนี้
จีนในสายตาสหรัฐฯ และชาติตะวันตก
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ย่ำแย่ลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยสถานการณ์นี้เลวร้ายลงอย่างมากนับตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่มีนโยบายที่เข้มงวดกับจีน แต่มุมมองของจีนในสายตาชาติตะวันตกอื่น ๆ แย่ลงตามไปด้วย จากความกังวลในประเด็นสิทธิมนุษยชน และท่าทีก้าวร้าวของจีนต่อไต้หวัน
นโยบายต่อต้านการทุจริต
หลังจากก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำจีน ปธน.สี เริ่มต้นการผลักดันการปราบปรามการทุจริตภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมาก และนักวิเคราะห์หลายคนต่างมองว่านี่เป็นอีกเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของผู้นำจีนด้วย
กำราบด้วยนโยบายความมั่นคง
ปธน.สี ได้ใช้นโยบายด้านความมั่นคง ทั้งที่ธิเบต ซินเจียง และฮ่องกง ซึ่งเคยสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ให้อยู่ในการควบคุมของจีนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างที่เห็นได้ชัด คือ การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง หลังการประท้วงใหญ่ในฮ่องกง เมื่อปี 2019
จุดประเด็นร้อนกับไต้หวัน
ผู้นำจีนทุกคนนับตั้งแต่ยุคเหมา เจ๋อตุง เป็นต้นมา ต่างเน้นย้ำความสำคัญของ “การรวมชาติ” ให้ไต้หวันกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของจีน
แต่ความตึงเครียดบริเวณช่องแคบไต้หวันยกระดับขึ้นภายใต้การนำของปธน.สี เมื่อกองทัพจีนเพิ่มกิจกรรมทางการทหารรอบเกาะไต้หวันในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่การซ้อมรบไปจนถึงการรุกล้ำน่านฟ้าเข้ามาเหนือเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันตนเองทางอากาศ (ADIZ) ของไต้หวัน
และภายหลังการเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ส.ส.แนนซี เพโลซี ยิ่งกระตุ้นการซ้อมรบของกองทัพจีนในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน
บทบาทของรัฐในการผลักดันเศรษฐกิจจีน
ประธานาธิบดีสี ยกระดับบทบาทของรัฐในการควบคุมและนำพาเศรษฐกิจประเทศ รวมทั้งมาตรการปราบปรามภาคเอกชนที่เป็นอิสระมากที่สุด อย่างอุตสาหกรรมเกมและโรงเรียนกวดวิชา
การเข้าปราบปรามอุตสาหกรรมเหล่านี้ บวกกับผลกระทบของมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ที่ควบคุมการระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวดในจีน ยิ่งทำให้เกิดการว่างงานในชุมชนเมืองและทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง
เศรษฐกิจเติบโตช้า-ค่าแรงพุ่ง
ยุคแห่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับเลขสองหลักสิ้นสุดลงก่อนที่ ปธน.สีจะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำจีน และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนมุ่งหน้าสู่ขาลง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากพิจารณาจากขนาดเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวขึ้นอย่างมากเช่นนี้ ขณะที่รายได้ของผู้คนปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในยุคของปธน.สี
นักวิเคราะห์จำนวนมากเริ่มออกโรงเตือนว่า การมุ่งลงทุนอย่างหนัก และโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน เป็นรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวคือสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าสำหรับจีน
กำจัดผู้เห็นต่าง-ขยายการเซนเซอร์
ปธน.สี มุ่งเน้นการปราบปรามผู้ที่วิจารณ์และประท้วงคัดค้านตน ลดพื้นที่และบทบาทของผู้เห็นต่าง ขณะที่เพิ่มการปิดกั้นการแสดงความเห็นมากขึ้น
กองทัพจีนที่ทันสมัยและใหญ่ขึ้น
กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (People's Liberation Army) นำโดยปธน.สี สยายปีกเทียบเท่าสหรัฐฯ ในหลายมิติ รวมทั้งในน่านน้ำสำคัญ ในระหว่างที่ความตึงเครียดกับไต้หวันเพิ่มมากขึ้น จีนเพิ่มสรรพกำลังเพื่อยึดครองไต้หวันในระดับที่ทางการสหรัฐฯ ให้ความกังวล
ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม และผู้นำด้านมลพิษ
ระหว่างที่จีนเผชิญปัญหาในการลดการพึ่งพาพลังงานจากถ่านหิน จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกในการผลิตยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และได้รับการยกย่องในฐานะประเทศที่ให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางคาร์บอนในปี 2060
ที่เห็นได้ชัดด้านสิ่งแวดล้อมของจีน คือ คุณภาพอากาศของจีนที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ขจัดความยากจนขั้นสุด แต่ความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่
ปธน.สี ประกาศแผนขจัดความยากจนในจีน เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของจีน โดยเฉพาะช่องว่างรายได้ระหว่างคนในเมืองและคนชนบท ซึ่งเป็นสิ่งที่ปธน.สียังหาทางแก้ไข ผ่านนโยบาย “ความมั่งคั่งร่วมกัน” ซึ่งยังไม่ลงรายละเอียดอย่างชัดเจน
ที่มา: รอยเตอร์, VOA