15 พฤศจิกายน 2565
1,473

สี จิ้นผิง พบกับ ไบเดน ในการประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย ย้ำจะไม่เกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

สี จิ้นผิง พบกับ ไบเดน ในการประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย ย้ำจะไม่เกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
Highlight

เป็นการพบกันครั้งแรกของสองผู้นำโลก ระหว่าง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ และ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ในการประชุม G20 ที่ประเทศอินโดนีเชีย ในช่วง 14-15 พ.ย.นี้ สื่อนอกรายงานว่า ทั้งสองประเทศต้องการบริหารความสัมพันธ์ ภายหลังจากการขับเคี่ยวกันมาอย่างหนักผ่านตัวแทนของแต่ละฝ่ายในทุกๆด้าน ด้วยว่าสหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามต่อการเป็นผู้นำโลกมากกว่ารัสเซีย การเจรจาร่วมกันใช้เวลานานหลายชั่วโมง ซึ่งสื่อคาดว่าประเด็นที่มีการหยิบยกขึ้นมาเจรจาน่าจะครอบคลุมการกีดกันทางการค้า ปัญหาการส่งออกชิป และเรื่องสันติภาพไต้หวัน


ประธานาธิบดีสหรัฐโจ ไบเดน ย้ำในการแถลงข่าวหลังพูดคุยกับนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ว่า เมื่อ 14 พ.ย.ว่าจะไม่มีสงครามเย็นเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

นายไบเดน ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวรายหนึ่งว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามเย็นครั้งใหม่ได้ไหม โดยเฉพาะจากความตึงเครียดเรื่องไต้หวัน โดยผู้นำสหรัฐฯ ตอบว่า “ผมเชื่ออย่างที่สุดว่าจะไม่มีสงครามเย็นครั้งใหม่… ผมไม่คิดว่าจีนจะพยายามบุกรุกรานไต้หวันในเร็ววันนี้” 

อย่างไรก็ดี นายไบเดน บอกว่าเขาได้ย้ำกับนายสี ว่านโยบายของสหรัฐฯ เรื่องไต้หวันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย และเขาอยากให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น “ได้รับการแก้ไขอย่างสันติ” 

ผู้นำสหรัฐฯ บอกอีกว่า ท่าทีของนายสี “ตรงไปตรงมา” เหมือนกับที่เขาเป็นมาตลอด แต่ก็บอกว่าดูนายสีพร้อมจะประนีประนอมในบางเรื่อง 

ก่อนหน้านี้ สื่อของรัฐจีนรายงานถึงการพูดคุยยาวนานกว่า 3 ชั่วโมงของผู้นำทั้งสองว่า นายสีได้เตือนให้สหรัฐฯ อย่า “ล้ำเส้น” เรื่องไต้หวัน 

ในเรื่องของยูเครน สื่อของจีนรายงานว่า นายสีบอกว่าเขากังวลมากเรื่องสถานการณ์การสู้รบในยูเครนที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ จีนได้ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียยับยั้งชั่งใจแต่ก็ไม่ได้ถึงกับประณามรัสเซียซึ่งเป็นคู่ค้าของตน

สี พบ ไบเดน พบหน้ากันครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน พบกันที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย เมื่อช่วงบ่ายของ 14 พ.ย. ก่อนเข้าร่วมประชุมผู้นำ G20 ซึ่งเป็นเวทีหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจขนาดใหญ่  

เป็นครั้งแรกที่ผู้นำสหรัฐฯ และจีน พบกันด้วยตัวเองนับตั้งแต่นายไบเดน รับตำแหน่งเมื่อปี 2020 และเป็นการพบกันในขณะที่ความสัมพันธ์ของมหาอำนาจทั้งสองประเทศร้าวฉาน 

คาดว่าหัวข้อสำคัญในการสนทนาจะอยู่ที่เรื่องของไต้หวันที่จีนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ไต้หวันไม่คิดเช่นนั้น

ความสัมพันธ์อันเย็นชา

ก่อนหน้าการพบปะกันครั้งนี้ นายไบเดน ได้แสดงท่าทีประนีประนอมต่อจีน แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังเป็นไปอย่างเย็นชา

ที่ผ่านมาจีนต้องเผชิญสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และล่าสุดสหรัฐฯ ยังพยายามไม่ให้จีนเข้ามาแทรกแซงตลาดผลิตชิปซึ่งใช้เทคโนโลยีระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่าสหรัฐฯ ตั้งใจกีดกันจีน “ทุกวิถีทาง” ฝ่ายจีนเห็นว่าความสัมพันธ์อันเย็นชาของทั้งสองฝ่ายมีต้นตอจากความปรารถนาของสหรัฐฯ ที่ต้องการเป็นชาติที่เหนือกว่า

ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ มองจีนว่าเป็นภัยคุกคามต่อโลกมากกว่ารัสเซีย และสหรัฐฯ เริ่มออกมาชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จีนจะรุกรานไต้หวันจริง 

รูปการณ์ความสัมพันธ์ในขณะนี้ผ่านพ้นจุดที่ทั้งสองฝ่ายเคยมองว่าพัฒนาการที่เท่าเทียมจะมีความสำคัญเหนือกว่าความแตกต่างทางความคิดและความขัดแย้งของชาติที่เป็นมหาอำนาจอยู่แล้วกับอีกชาติที่กำลังก้าวขึ้นมา

จีนต้องการสานสัมพันธ์

ผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยเรื่องจีน ระบุว่า จีนบอกมาโดยตลอดว่าไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อยู่ในสภาพติดหล่ม แต่เห็นว่าเป็นหน้าที่ของสหรัฐฯ ที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น 

ยาเหว่ย ลิว ผู้อำนวยการโครงการจีน ของ Carter Center องค์กรไม่แสวงหากำไร บอกกับบีบีซีแผนกภาษาจีนว่า “ขณะนี้จีนมีทัศนะที่ชัดเจนว่า…ต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์

เขาบอกว่าก่อนการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เดินทางไปเยือนสหรัฐฯ และบอกกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ ว่า จีนและสหรัฐฯ “จะต้องหาทางให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ”  

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยเรื่องจีนคนนี้ไม่ได้หวังผลมากมายจากการพบกันของสองผู้นำ “ที่ผ่านมาสหรัฐฯ มักจะทำอะไรที่ออกแนวแข็งกร้าว” เขาระบุถึงการห้ามส่งออกชิปไปยังจีน 

ไบเดน ระบุสหรัฐฯ ไม่ต้องการความขัดแย้ง

นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ บอกกับนักข่าวที่เดินทางร่วมคณะมากับเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ว่านายไบเดน จะชี้ชัดว่า “สหรัฐฯ เตรียมพร้อมรับการแข่งขันอย่างรุนแรงกับจีนแต่สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการเผชิญหน้า” 

นายไบเดนจะกล่าวด้วยว่า “ทุกชาติ รวมทั้งสหรัฐฯ และสาธารณรัฐประชาชนจีน ควรบริหารจัดการตามกฎที่เป็นที่ตกลงกัน รวมทั้งเสรีภาพในการเดินเรือ, สนามแข่งขันทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม โดยปราศจากการคุกคามข่มขู่ หรือบีบบังคับ หรือรุกราน” 

นายซัลลิแวนกล่าวด้วยว่านายไบเดนจะมีโอกาสได้พูดคุยกับนายสีอย่างตรงไปตรงมา และหวังว่านายสีก็จะมีท่าทีที่ตรงไปตรงมาเช่นกัน เพื่อที่ว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจกันและกันมากขึ้นว่าจะบริหารความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไร

จี 20 คืออะไร

กลุ่มจี 20 คือกลุ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 20 ประเทศ เมื่อนับรวมผลผลิตทางเศรษฐกิจในกลุ่มจี 20 แล้ว มีมูลค่าราว 85% และมีมูลค่าการค้าคิดเป็น 75% ของทั้งโลก ขณะที่มีจำนวนประชากรราว 2 ใน 3 ของโลก

สมาชิกกลุ่มจี 20 ประกอบด้วยสหภาพยุโรป และอีก 19 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ขณะที่สเปน มักได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมเป็นประจำ

ที่มา : BBC


ติดต่อโฆษณา!