29 พฤศจิกายน 2565
738

ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวด หวังลดกระแสการประท้วงนโยบายเข้มโควิด

ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวด หวังลดกระแสการประท้วงนโยบายเข้มโควิด
Highlight

มาตรการโควิด-19 ที่เข้มงวดของจีน สร้างความอึดอัดและความไม่สะดวกสบายจนเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ประชาชนลุกขึ้นมาประท้วงในหลายเมืองใหญ่ พร้อมใช้สัญลักษณ์กระดาษเปล่าในการประท้วงเพื่อแสดงถึงความอึดอัดและการที่ประชาชนไม่สามารถแสดงความเห็นใดๆ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายการสกัดกั้นในบางพื้นที่เพื่อลดความตึงเครียดลง ในขณะที่ชาวจีนโพ้นทะเล ที่อาศัยในเมืองต่างๆทั่วโลกก็ได้รวมตัวเพื่อประท้วงเช่นเดียวกัน


ทางการกรุงปักกิ่งประกาศยกเลิกการตั้งสิ่งกีดขวางทางเข้าอพาร์ทเมนท์ซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อยู่ภายใน โดยระบุว่าจะต้องไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ หรือการออกจากอาคารในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ส่วนเมืองกว่างโจวประกาศงดการปูพรมตรวจเชื้อโควิด-19 ครั้งใหญ่สำหรับประชาชนในวงกว้าง โดยอ้างถึงความจำเป็นในการรักษาทรัพยากร ขณะที่เมืองอุรุมชี เมืองหลวงของซินเจียง ประกาศเปิดตลาดสดและอนุญาตให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดทำการในสัปดาห์นี้สำหรับท้องที่ซึ่งมีการแพร่ระบาดในระดับต่ำ รวมทั้งให้บริการรถโดยสารสาธารณะ

มาตรการผ่อนคลายดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ชาวจีนพากันรวมตัวกันบนท้องถนนในเมืองต่างๆ ซึ่งรวมถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ กรุงปักกิ่ง เมืองอู่ฮั่น เฉิงตู ซีอาน และนานกิง เพื่อประท้วงต่อการที่รัฐบาลยังคงล็อกดาวน์เมืองต่างๆเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน และทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม

นอกจากนี้ ประชาชนแสดงความไม่พอใจที่เกิดเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตถึง 10 รายจากเหตุเพลิงไหม้ในอาคารแห่งหนึ่งที่เมืองอุรุมชี ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล และทำให้มีการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ลาออกจากตำแหน่ง

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ระบุว่า ถึงแม้ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในวันนี้ แต่รัฐบาลยังไม่มีแนวโน้มที่จะยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในอนาคตอันใกล้

ผู้ประท้วงราว 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนชุมนุมด้านนอกศาลาว่าการนครซิดนีย์ของออสเตรเลียในวันจันทร์ (28พ.ย.)  โดยตะโกนว่า “จากซิดนีย์ถึงเซี่ยงไฮ้ ประชาธิปไตยไม่มีวันตาย” และพูดซ้ำ ๆ ว่า “เสรีภาพ เสรีภาพเพื่อจีน” หลายคนชูป้ายประท้วงเพื่อเรียกร้องให้จีนปล่อยตัวผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมในหลายเมืองในช่วงหลายวันนี้ หลังจากมีการประท้วงในหลายเมืองเพื่อคัดค้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ที่มีข้อบังคับเข้มงวด โดยเฉพาะมาตรการล็อกดาวน์

นอกจากนี้ ผู้ประท้วงรายหนึ่งสวมหัวมาสค็อตหมีพูห์ ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ล้อเลียนประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และถือกระดาษเปล่า ที่เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงเงียบเพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์

ชนวนเหตุของการประท้วงในหลายเมืองทั่วจีนมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้อพาร์ตเมนต์ในเมืองอูรุมชี ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน ที่มีผู้เสียชีวิต 10 รายเมื่อวันพฤหัสบดี โดยมีกระแสข่าวว่า ผู้อยู่อาศัยหนีออกจากตึกไม่ได้เพราะประตูถูกล็อกภายใต้มาตรการล็อกดาวน์

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประท้วงรวมตัวที่ด้านนอกสถานทูตจีนในกรุงลอนดอนของอังกฤษเมื่อคืนวันอาทิตย์เพื่อจุดเทียนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ที่ซินเจียง  ผู้ประท้วงถือป้ายที่มีข้อความว่า  “ปลดปล่อยจีน” และ “หยุดทารุณกรรมประชาชนของตัวเอง”

นอกจากนี้  ผู้ประท้วงยังตะโกนเรียกร้องให้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ลาออก เช่นเดียวกับผู้ประท้วงที่ชุมนุมในนครเซี่ยงไฮ้เมื่อคืนวันเสาร์  และเรียกร้องให้จีนปล่อยตัวผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมในเซี่ยงไฮ้ทันที

ส่วนในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น มีผู้ประท้วงราว 100 คน รวมตัวประท้วงใกล้ทางออกที่สถานีรถไฟชินจูกุ เมื่อวันอาทิตย์ โดยบางคนตะโกนเรียกร้องให้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และพรรคคอมมิวนิสต์ ยอมก้าวลงจากอำนาจ และร่วมร้องเพลงชาติจีน ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวจากจีน และบางคนเป็นนักศึกษาต่างชาติ

ขณะที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ไม่ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ประท้วงในต่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ประท้วงในจีน และเรียกร้องให้จีนยุตินโยบายโควิดเป็นศูนย์ และกล่าวปกป้องว่า รัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนมาตรการควบคุมโรคตามความเป็นจริงในพื้นที่ รวมทั้งเชื่อมั่นว่า ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ และการสนับสนุนของประชาชนจีนทุกคน จะทำให้การต่อสู้กับโควิด-19 ประสบความสำเร็จ

ความท้าทายต่อสี จิ้นผิง

ศาสตราจารย์ โฮ-ฟุง โห สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกินส์ในสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในจีนช่วงไม่กี่วันมานี้ ถือเป็น “สถานการณ์ที่ท้าทาย” สำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง 

และแม้การประท้วงเป็นวงกว้างจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกมากนักในจีน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น “ถือเป็นบททดสอบสำคัญแรกต่อการปกครองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” เพราะผู้ประท้วงหลายคนออกมาประกาศชัด เรียกร้องให้นายสี ลงจากอำนาจ 

“ประธานาธิบดีสี ต้อนตัวเองจนมุม” ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ด้วยการเดินหน้าใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ที่ไม่มีกำหนดสิ้นสุดที่ชัดเจน จนทำให้คนรุ่นใหม่ ชนชั้นกลาง รวมถึงชนชั้นสูงบางคน เริ่มหมดความอดทน

ด้าน สตีเฟน แมคโดเนลล์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำประเทศจีน ระบุว่า การแสดงท่าทีต่อต้านไม่ใช่เรื่องผิดปกติในจีน เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชาวจีนออกมาประท้วงเพื่อแสดงความไม่พอใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ตั้งแต่ปัญหามลพิษไปจนถึงการยึดที่ดินอย่างผิดกฎหมาย หรือการที่ตำรวจปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม

แต่การประท้วงที่กำลังลุกลามขยายวงในหลายพื้นที่ของจีนนั้นมีความแตกต่างออกไป

การประท้วงในขณะนี้เกิดจากความคับข้องและเหนื่อยหน่ายใจที่ชาวจีนจำนวนมากรู้สึกตรงกัน หลายคนเก็บความอัดอั้นตันใจนี้ไม่ไหวอีกต่อไป และนำไปสู่การประท้วงเป็นวงกว้างต่อมาตรการควบคุมโควิดอย่างเข้มงวดของทางการ

ความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้สะท้อนออกมาในรูปของการทำลายแนวกั้นที่ถูกออกแบบมาเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม ตลอดจนการลุกฮือขึ้นประท้วงตามมหาวิทยาลัยและหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ อาทิ กรุงปักกิ่ง และนครหนานจิง

นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน

ในขณะที่ทั่วโลกเริ่มปรับใช้นโยบายเพื่ออยู่ร่วมกับโควิด-19 แต่จีน ยังคงดำเนินนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” อย่างเข้มงวด ด้วยเหตุผลว่า เพื่อรักษาชีวิตของประชาชน เพราะหากควบคุมการระบาดไม่ได้ จะทำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เป็นอันตราย

มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดในจีนค่อนข้างต่ำ นับแต่เกิดการระบาดใหญ่ โดยยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่กว่า 5,200 คน หรือเฉลี่ยแล้ว มีผู้เสียชีวิตราว 3 คน ต่อประชาชน 1 ล้านคนในจีน

ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำจีน วิเคราะห์ว่า รัฐบาลจีนเองดูเหมือนจะประเมินกระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่ำเกินไป ซึ่งนโยบายนี้เป็นสิ่งที่นายสีเพิ่งประกาศจะยึดถือต่อไปโดยไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายที่พรรคคอมมิวนิสต์จะหลุดพ้นจากปัญหาที่ตนเองสร้างขึ้น 

เป็นเวลา 3 ปีมาแล้วที่จีนเตรียมเปิดประเทศจากมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด แต่แทนที่จะสร้างหน่วยดูแลผู้ป่วยอาการวิกฤต หรือไอซียูเพิ่ม และเน้นการให้วัคซีนต้านโควิดแก่ประชาชน แต่จีนกลับทุ่มเททรัพยากรมหาศาลไปกับการตรวจคัดกรองโรคเป็นวงกว้าง การสั่งล็อกดาวน์ และการทำศูนย์กักโรค เพื่อทำสงครามกับเชื้อไวรัสที่ไม่มีวันจะหมดสิ้นไป

อ้างอิง : BBC

ติดต่อโฆษณา!