อังกฤษ-สหรัฐฯ ชี้สัมพันธ์แน่นแฟ้นรัสเซีย-อิหร่าน เป็นภัยคุกคามโลก

อังกฤษ-สหรัฐฯ ชี้สัมพันธ์แน่นแฟ้นรัสเซีย-อิหร่าน เป็นภัยคุกคามโลก
Highlight

เมื่อการมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ-ยุโรปดูเหมือนไม่เห็นผลมากนักที่จะทำให้รัสเซียต้องยุติสงคราม และไปๆมาๆ ยูเครนจะลำบากมากยิ่งขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้ เพราะรัสเซียใช้โดรนกามิกาเช่ ที่พันธมิตรจากอิหร่านส่งให้ ส่องโจมตีสาธารณูปโภคด้านพลังงาน ตามยุทธการแช่แข็งยูเครน และถูกพลเมืองยูเครนล้มตายจำนวนมาก สหรัฐ-อังกฤษ ออกมาประนามความร่วมมือรัสเซีย-อิหร่าน ว่าเป็น “ภัยคุกคามโลก” และสะกิดเตือนว่าอาจทำให้ทั้งสองประเทศพัฒนาอาวุธร้ายแรงร่วมกัน  รวมทั้งอาจละเมิดข้อตกลงการใช้อาวุธร้ายแรง ในอนาคต

นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงของสหรัฐฯ บอกว่า รัสเซียได้ให้การสนับสนุนด้านการทหารแก่อิหร่านในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และได้พบรายงานว่า รัสเซียและอิหร่านจะร่วมมือกันสร้างโดรนที่มีอานุภาพรุนแรงด้วย

ก่อนหน้านี้ ยูเครนได้กล่าวหาอิหร่านว่า ให้โดรน “กามิกาเซ่” แก่รัสเซียเพื่อใช้ก่อเหตุโจมตีที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งทางการอิหร่านปฏิเสธ แต่ต่อมาก็ยอมรับว่า ได้มีการส่งโดรนให้รัสเซียจำนวนไม่มากในช่วง “หลายเดือน” ก่อนที่จะเกิดสงครามขึ้น

นายเคอร์บี กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม ว่า  

โฆษกสภาความมั่นคงของสหรัฐฯ กล่าวว่า “รัสเซียกำลังหาทางร่วมมือกับอิหร่านในหลายด้าน เช่น การพัฒนาอาวุธ และการฝึกซ้อม”  เขาบอกด้วยว่า สหรัฐฯ เกรงว่า รัสเซียตั้งใจที่จะ “จัดหาอุปกรณ์ด้านการทหารที่ทันสมัยให้แก่อิหร่าน” รวมถึงเฮลิคอปเตอร์และระบบป้องกันภัยทางอากาศ  

เขาบอกว่า อิหร่านกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักทางการทหารของรัสเซีย โดยรัสเซียได้ใช้โดรนของอิหร่านในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ทำให้ประชาชนในยูเครนหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้ในการให้พลังงานและทำความร้อน รวมถึงไม่สามารถใช้บริการที่สำคัญต่าง ๆ  อันที่จริงแล้ว ประชาชนในยูเครนทุกวันนี้ กำลังล้มตาย เพราะผลพวงการกระทำของอิหร่าน 

ด้านนายเจมส์ เคลเวอร์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า อิหร่านได้กลายเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักทางการทหารของรัสเซีย และความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติก็เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของโลก  

เขาใช้คำว่า “ข้อตกลงอันชั่วร้าย” ระหว่างสองประเทศนี้ ทำให้อิหร่านส่งโดรนให้แก่รัสเซียแล้วหลายร้อยลำ

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อเป็นการตอบแทน รัสเซียได้มอบความช่วยเหลือทางเทคนิคและการทหารให้แก่รัฐบาลอิหร่าน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อพันธมิตรของเราในตะวันออกกลางและต่อประชาคมโลก”

นายเคลเวอร์ลี กล่าวว่า สหราชอาณาจักรเห็นพ้องกับสหรัฐฯ ว่า การสนับสนุนของอิหร่านต่อกองทัพรัสเซียจะเพิ่มมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่รัสเซียพยายามจะหาอาวุธมาไว้ในครอบครองมากขึ้น รวมถึงขีปนาวุธทิ้งตัวอีกหลายร้อยลูกด้วย

หลายปีมาแล้วที่รัสเซียโดนตั้งคำถามเพราะจัดส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เทคโนโลยีล้ำสมัยให้อิหร่าน ตอนนี้ทิศทางการซื้อขายและขนส่งอาวุธเป็นไปในทางตรงกันข้าม รัสเซียใช้โดรนที่อิหร่านจัดหาให้ในการโจมตีทั้งพลเรือนยูเครนและระบบผลิตและจัดส่งกระแสไฟฟ้าในประเทศ

ขณะเผชิญอุปสรรคต่าง ๆ และยุทโธปกรณ์ที่ตัวเองมีก็ร่อยหรอลงเรื่อย ๆ รัสเซียหันไปพึ่งอาวุธนำวิถีความแม่นยำสูงจากอิหร่าน มีคนสังเกตเห็นว่ามีเที่ยวบินขนส่งบินจากอิหร่านไปรัสเซีย นอกจากนี้แหล่งข่าวในสหรัฐอเมริกาชี้ว่า มีการส่งครูฝึกจากกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (Revolutionary Guard Corps - IRGC) ไปที่ฐานทัพในไครเมียเพื่อสอนวิธีการใช้อาวุธแก่ทหารรัสเซียด้วย

แต่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างรัสเซียและอิหร่าน จะส่งผลกระทบมากกว่าแค่เรื่องสงครามยูเครนหรือเปล่า มันอาจส่งผลกระทบต่อการเจราจาข้อตกลงเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างนานาชาติกับอิหร่าน

เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ทั้งรัสเซียและอิหร่านต้องการเพื่อน พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยวและกำลังเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย

ขณะที่รัสเซียโดนมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพราะไปทำสงครามกับยูเครน อิหร่านก็โดนคว่ำบาตรเหมือนกัน เพราะโครงการอาวุธนิวเคลียร์และประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน และในประเทศ ประชาชนก็กำลังลุกฮือประท้วงหลังกรณีการเสียชีวิตของ มาห์ซา อามินี หญิงสาววัย 22 ปี

ตอนนี้สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสมองว่าการส่งอาวุธไปให้รัสเซียของอิหร่านเป็นการละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติฉบับที่ 2231 นี่อาจทำให้นานาชาติกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ต่ออิหร่านอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น นี่จะส่งผลเสียต่อความพยายามที่จะฟื้นฟูข้อตกลงนี้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศถอนตัวไปเมื่อปี 2018

อย่างไรก็ดี รัสเซียกับอิหร่านใกล้ชิดกันเพราะสถานการณ์มากกว่าเพราะอุดมการณ์

นานมาแล้วที่ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับอิหร่านมีความกำกวมอยู่ระดับหนึ่ง ตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งคือทั้งสองประเทศมีเป้าหมายแตกต่างกันในการเข้าไปแทรกแซงในซีเรีย ขณะที่การเข้าไปแทรกแซงทางทหารของรัสเซียช่วยให้คณะปกครองของนายบาชาร์ อัล อัสซาด รอดมาได้ กองกำลัง, อาวุธ และกลุ่มติดอาวุธของอิหร่าน มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของเขา

อย่างไรก็ดี รัสเซียซึ่งยังมีทหารประจำการอยู่ในซีเรีย ไม่เคยออกตัวสนับสนุนแผนของอิหร่านที่จะขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ แต่ก็ไม่ได้ไปขัดขวางอย่างที่อิสราเอลหวัง

ความสัมพันธ์บทใหม่ของรัสเซียและอิหร่านจะเปลี่ยนแปลงอะไรเรื่องนี้หรือเปล่า แม้ว่ารัสเซียจะถอนระบบการป้องกันทางอากาศและทหารบางส่วนออกจากซีเรียแล้ว รัสเซียยังมีความสามารถที่จะแทรกแซงปฏิบัติการของอิสราเอลได้อยู่

นี่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อิสราเอลยังลังเลที่จะสนับสนุนยูเครนอยู่ แต่ในอนาคต ท่าทีของอิสราเอลจะเปลี่ยนไปหรือเปล่าหากรัสเซียส่งอาวุธที่เทคโนโลยีล้ำสมัยกว่าเดิมให้อิหร่านเป็นการตอบแทนที่ให้การช่วยเหลือพวกเขาในสงครามยูเครน

สำหรับตอนนี้ ท่าทีของอิสราเอลไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเพราะใกล้จะจัดการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่ความสัมพันธ์บทใหม่ของรัสเซียและอิหร่านจะมีผลกระทบต่อการเมืองโลกเกินเรื่องสงครามในยูเครน

ที่มา : BBC

 

ติดต่อโฆษณา!