สงครามรัสเซีย-ยูเครน เข้าสู่ปีที่ 2 มีโอกาสจะจบลงบนโต้ะเจรจาหรือลากยาวข้ามปี
Highlight
สงครามรัสเซีย-ยูเครนเข้าสู่ปีที่ 2 ผู้สันทัดกรณีและนักวิชาการด้านสงคราม มองว่าความเป็นไปได้ในการเจรจายุติสงครามมีอยู่ริบหรี่ เพราะการจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้นั้นต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมเปลี่ยนแปลงข้อเรียกร้องของตน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียเร่งเสริมกำลังรบในฤดูหนาว เพื่อเตรียมเปิดการโจมตีระลอกใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค-มิ.ย.66) ที่กำลังจะถึงนี้ ในขณะที่สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา หนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารช่วยยูเครนเต็มที่ ทำให้ยูเครน ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ต่อสู้ ศึกนี้จะยืดเยื้อข้ามไปปี 2024 หรือไม่ต้องติดตาม
สงครามในยูเครนกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว บีบีซีรวบรวมความเห็นจากบรรดาผู้สันทัดกรณีด้านการทหารจากฝั่งประเทศอังกฤษและสหรัฐ ช่วยวิเคราะห์ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในสมรภูมินี้ในปี 2023 สงครามครั้งนี้จะยุติลงในปีนี้หรือไม่ และจะจบลงในสนามรบหรือบนโต๊ะเจรจา หรือความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2024
“การโจมตีในฤดูใบไม้ผลิของรัสเซียจะเป็นตัวแปรสำคัญ”
ศาสตราจารย์ไมเคิล คลาร์ก รองผู้อำนวยการสถาบันศึกษายุทธศาสตร์ แห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า การสู้รบท่ามกลางฤดูหนาวอันหฤโหดในยูเครนเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ขณะนี้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เร่งเสริมกำลังรบในฤดูหนาว เพื่อเตรียมเปิดการโจมตีระลอกใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค-มิ.ย.) ที่กำลังจะถึงนี้
ศ.คลาร์ก ชี้ว่าทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องพักรบระยะหนึ่ง แต่ยูเครนมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีกว่า และมีแรงจูงใจที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศชาติต่อไป ทำให้คาดว่ายูเครนจะคงแรงกดดันต่อไปได้ อย่างน้อยก็ในภูมิภาคดอนบาส
เขาระบุว่า ขณะนี้ยูเครนใกล้จะมีชัยเหนือข้าศึกในการสู้รบที่เมืองเครมีนา และเมืองสวาตอฟเวอ ในภูมิภาคลูฮันสก์ ทางภาคตะวันออก และความคืบหน้าครั้งใหญ่นี้จะผลักดันให้กองทัพรัสเซียถอยร่นออกไปอีก 40 ไมล์ สู่แนวเส้นตั้งรับทางธรรมชาติ ใกล้กับจุดที่รัสเซียเริ่มต้นเข้ารุกรานยูเครนเมื่อเดือน ก.พ. 2022
ศ.คลาร์กเชื่อว่า รัฐบาลยูเครนคงลังเลที่จะพักรบ แล้วเดินหน้าสู้ต่อไปในช่วงที่จวนเจียนจะกุมชัยชนะครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยูเครนอาจพักการโหมโจมตีทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากช่วงชิงภูมิภาคแคร์ซอนคืนจากรัสเซียได้สำเร็จ
เขามองว่าตัวแปรสำคัญที่จะชี้ชะตาของกองทัพรัสเซียในปี 2023 คือการสู้รบในฤดูใบไม้ผลิ โดยก่อนหน้านี้นายปูตินได้ส่งทหารเกณฑ์ใหม่ราว 50,000 นายเข้าไปยังแนวหน้าการสู้รบ ส่วนอีก 250,000 นายอยู่ระหว่างการฝึกสำหรับร่วมรบในปีหน้า
ศ.คลาร์กคาดว่า หลังจากนี้รัสเซียมีแต่จะเพิ่มการโจมตีให้หนักหน่วงขึ้นจนกว่ากองทัพของตนจะมีชัยในสนามรบ ส่วนเรื่องการพักรบนั้น อาจมีขึ้นเป็นระยะสั้น ๆ เพราะประธานาธิบดีปูตินระบุอย่างชัดเจนว่าเขาจะไม่ยอมหยุด ขณะที่ยูเครนก็ประกาศชัดเจนว่าจะสู้ต่อไป
“มองไม่เห็นจุดจบ”
ดร.บาร์บารา ซานเชตตา อาจารย์ภาควิชาศึกษาสงคราม คิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน ชี้ว่าการที่นายปูตินคิดว่ามหาอำนาจด้านการทหารอย่างรัสเซียจะกุมชัยชนะเหนือประเทศเพื่อนบ้านเล็ก ๆ อย่างยูเครนได้โดยง่ายโดยไม่มีประเทศอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง อีกทั้งยังทำให้ความขัดแย้งนี้ขยายวงกว้างจนมองไม่เห็นจุดจบ
เธออธิบายว่า การสู้รบในฤดูหนาวนี้จะเป็นไปอย่างยากลำบาก ในขณะที่รัสเซียมุ่งโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจที่บอบช้ำอยู่แล้วของชาวยูเครน ทว่าความเข้มแข็งที่แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ของคนเหล่านี้ ทำให้พวกเขายืนหยัดทัดทานการรุกรานของรัสเซียต่อไป และส่งผลให้สงครามนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ดร.ซานเชตตา มองว่าความเป็นไปได้ในการเจรจายุติสงครามมีอยู่ริบหรี่ เพราะการจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้นั้นต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมเปลี่ยนแปลงข้อเรียกร้องของตน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น
เธอแสดงความเห็นว่า สงครามนี้จะยุติลงได้ต้องมาจากปัจจัยการเมืองภายในของรัสเซียที่ยอมรับถึงการประเมินเกมรบที่ผิดพลาด และเป็นฝ่ายถอนตัวออกจากสงคราม ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม และกับสหภาพโซเวียตในสมรภูมิอัฟกานิสถาน
ดร.ซานเชตตาชี้ว่า กรณีนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชาติตะวันตกมีจุดยืนที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนยูเครน แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันในประเทศเรื่องค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการทำสงครามครั้งนี้ ซึ่งคาดว่าจะยืดเยื้อออกไป และจนถึงสิ้นปี 2023 สงครามครั้งนี้ก็อาจไม่ยุติลงโดยง่าย
ทิศทางเดิม
เดวิด เจนเดลแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล มองว่า สถานการณ์การสู้รบระหว่างยูเครนและรัสเซียน่าจะดำเนินไปในทิศทางเดิมไม่มากก็น้อย
เขาระบุว่า ขณะนี้รัสเซียมีทหารราว 150,000 นายปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่สู้รบ ถือเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งหมด 300,000 นายที่ถูกส่งไปรบในยูเครน ซึ่งทหารที่เหลืออยู่ รวมถึงกลุ่มที่ถอนทัพออกจากแคร์ซอนนั้นทำให้รัสเซียมีโอกาสเปิดฉากโจมตีครั้งใหม่
เจนเดลแมนเชื่อว่า รัสเซียน่าจะยังคุมภูมิภาคลูฮันสก์และโดเนตสก์ต่อไปได้ แต่ไม่น่าจะมีความคืบหน้าครั้งใหญ่ เพื่อเข้าปิดล้อมกองทัพยูเครนในภูมิภาคดอนบาสได้
นอกจากนี้เขาคาดว่ารูปแบบการรบน่าจะดำเนินไปในลักษณะเดิม นั่นคือการรุกคืบอย่างเชื่องช้า และมุ่งเป้าโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนต่อไปตามยุทธวิธีการทำให้ข้าศึกอ่อนแอลงทีละน้อย
ขณะเดียวกัน เจนเดลแมนมองว่าฝ่ายยูเครนก็จะมีกำลังพลที่ว่างเว้นจากหน้าที่หลังจากรัสเซียถอนทัพออกจากแคร์ซอน โดยหลังจากนี้ยูเครนอาจมุ่งความสนใจไปที่เมืองเมลิโตโปล และเมืองแบร์ดิยันสก์ เพื่อตัดเส้นทางเชื่อมแผ่นดินของรัสเซียกับไครเมีย หากทำได้สำเร็จก็จะถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของยูเครน และเป็นสาเหตุที่รัสเซียพยายามเสริมกำลังทหารที่เมืองเมลิโตโปล
อีกทางเลือกหนึ่งของยูเครนคือสมรภูมิเมืองสวาตอฟเวอ ในภูมิภาคลูฮันสก์ ซึ่งหากยูเครนช่วงชิงคืนได้สำเร็จ ก็จะเป็นภัยต่อทัพรัสเซียที่รบอยู่แนวหน้าทางภาคเหนือของยูเครนทั้งหมด
ดังนั้นคำถามสำคัญในตอนนี้คือ ยูเครนจะมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์เพียงพอสำหรับสู้รบในปฏิบัติการเหล่านี้ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า หรือไม่
เจนเดลแมนบอกว่าเมื่อสนามรบเริ่มจับตัวเป็นดินโคลนแข็งจากความเย็นในฤดูหนาว เราก็จะได้คำตอบเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้เราทราบว่า “สงครามครั้งนี้จะมีจุดจบอย่างไร”
ที่มา : BBC