10 พฤศจิกายน 2566
899
เคาะแล้ว ! แจกเงินดิจิทัล งดให้สิทธิ์เงินเดือนเกิน 7 หมื่น เงินฝากเกิน 5 แสน
สรุปความคืบหน้าโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในวันนี้ (10 พ.ย.) โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้
ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แจก 50 ล้านคน เงื่อนไขดังนี้
มีสาระสำคัญดังนี้
1. เงินเดือนต่ำกว่า 70,000 บาท
2. ฝากไม่เกิน 500,000 บาท
3. อายุ 16 ปีขึ้นไป
4. เตรียมตั้งงบ 600,000 ล้านบาท แต่ยังต้องผ่านขั้นตอนกฎหมาย
5. มีระยะเวลาใช้จ่าย 6 เดือนขยายครอบคลุมระดับอำเภอ
วันนี้ (10 พ.ย.2566) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว. คลัง เรียกประชุมประชุมนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ชุดใหญ่ โดยระบุในช่วงเช้าแก่สื่อมวลชนก่อนการแถลงว่า
“ไม่ต้องจด ไม่ต้องอัด ตั้งใจฟังอย่างเดียว เพราะมี press release อย่างหนาให้”
จากนั้นเมื่อเวลา 14.00 น.นายเศรษฐา แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่า
โครงการดังกล่าวจะเติมเงินในระบบเศรษฐกิจ รวม 600,000 ล้านบาท ครอบคุลม 50 ล้านคน และอีก 100,000 ล้านบาทในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ และยังต้องผ่านกระบวนการตามกฎหมายก่อนที่จะสรุป และต้องมีมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าคนที่มีรายได้มากกว่า 70,000 บาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 50,000 ก็จะไม่ได้รับสิทธิ หรือรายได้น้อยกว่า 70,000 บาท แต่เงินฝากมากกว่า ก็จะไม่ได้รับสิทธิ
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนการใช้จ่ายนั้น จะจ่ายในระดับอำเภอ มีระยะเวลาใช้จ่ายก้อนแรกภาย 6 เดือน สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น “ซื้อบริการไม่ได้ แลกเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้ ซื้อทองเพรชพลอย หรือนำไปชำระหนี้ไม่ได้”
ร้านค้าไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ร้านค้าที่สามารถขึ้นเป็นเงินสดได้ต้องเป็นร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น
ผุดโครงการลดหย่อนลดภาษี
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะออกโครงการลดหย่อนภาษีให้คนไทยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล จากการซื้อสินค้า-บริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาทโดยใช้ใบกำกับภาษีมาประกอบยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีให้
ดังนั้นคนที่ไม่ได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต ก็สามารถเข้าร่วมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นอีกด้วย . โดยสรุป นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อประเทศ 2 ด้าน คือกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้น โดยมีประชาชนทุกภาคส่วนเป็นกลไกที่สำคัญ ผ่านการบริโภคและการลงทุน วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ซึ่งเป็นการวางและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศในระยะยาว
“นี่ไม่ใช่สงเคราะห์ ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจแทนสิทธิการใช้จ่าย เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ยังรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐทุกประการ”