“แต้ว” สุดาพร คว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2020 เป็นเหรียญที่ 2 ให้ประเทศไทย
HighLight
“แต้ว” สุดาพร คว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2020 ที่โตเกียว เป็นเหรียญที่ 2 ให้ประเทศไทย ในวันที่ 5 สค. ยอดเงินรางวัล อยู่ที่ 8.72 ลบ.
อาสาสมัครทหารพรานหญิง นาวิกโยธิน แต้ว-สุดาพร สีสอนดี แพ้คะแนนนักมวยจากไอร์แลนด์ไปแบบเฉียดฉิว 2-3 คะแนน สู้กันได้อย่างสูสีมาก คว้าเหรีญทองแดงให้ทัพนักกีฬาไทย และเป็นเหรียญที่ 2 ใน Olympic 2020 ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยการแข่งขันมีขึ้นในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 5 สิงหาคมนี้
ในขณะที่น้องเทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ซึ่งคว้าเหรียญทอง ในกีฬาเทควันโด้ไปก่อนหน้า ได้รับเงินรางวัลรวม 21.8 ลบ.
แต้ว-สุดาพร พลาดการเชิงเหรียญทองไปอย่างน่าเสียดายด้วยการแพ้คะแนน 2:3
คู่ชิงเหรียญของแต้ว-สุดาพร คือ เคลลี แอนน์ แฮร์ริงตัน นักมวยหญิงจากไอร์แลนด์ ซึ่งมีดีกรีคว้าเหรียญเงิน ในการแข่งมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์โลก ปี 2016 รุ่นไลท์เวลเตอร์เวต และเปลี่ยนมาชกในรุ่นไลท์เวต, เหรียญเงิน มวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์สหภาพยุโรป ปี 2017, เหรียญทองแดง มวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์ทวีปยุโรป ปี 2018 และเหรียญทอง มวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์โลกที่กรุงนิว เดลี ประเทศอินเดีย
ขณะที่แต้ว-สุดาพร ได้เหรียญทอง มวยสากลสมัครเล่นหญิง ซีเกมส์ ปี 2554 , เหรียญเงิน มวยสากลสมัครเล่นหญิง ซีเกมส์ ปี 2556 , เหรียญเงิน มวยสากลสมัครเล่นหญิง เอเชียนเกมส์ 2561 , เหรียญเงิน รุ่นไลท์เวต มวยสากลสมัครเล่นหญิง ชิงแชมป์โลก 2561และ เหรียญทอง มวยสากลสมัครเล่นหญิง ซีเกมส์ ปี 2562 และ เหรียญเงินชิงแชมป์โลก ที่อินเดีย ปี 2018
สำหรับ แต้ว-สุดาพร สีสอนดี เป็นชาว อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี เกิดวันที่ 4 ตุลาคม 2534 อายุ 29 ปี ถือเป็นการไปแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรก
“เป้าหมายในการชกชิงเหรียญโอลิมปิกของแต้ว คือฝึกซ้อมและฝึกที่เราคิดว่ายังทำไม่ได้เช่น หมัดชุดและหมัดหน้าให้เยอะขึ้น ศึกษาวีดีโอคู่ต่อสู้ในรุ่น ส่วนความรู้สึกหลังคว้าโคต้าโอลิมปิกครั้งแรก คือดีใจที่สุดเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุด เพราะที่สุดของนักกีฬาทุกคน” น้องแต้วกล่าว
หลังจากคว้าชัยเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2020 ในครั้งนี้ พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผบ.ทร. โทรศัพท์ให้กำลังใจ แต้ว-สุดาพร ที่สามารถคว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิกมาได้ และได้ชมว่าทำดีที่สุดแล้ว และเตรียมปูนบำเหน็จ เลื่อนยศเป็นเรือตรี
สำหรับเงินรางวัลต่างๆ ก่อนหน้านี้กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ได้ออกมาเปิดเผยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้เงินรางวัลแก่นักกีฬา บุคลกากรกีฬา และสมาคมกีฬาที่ใช้คำว่า "แห่งประเทศไทย" พ.ศ. 2562 ในมหกรรมโอลิมปิกเกมส์ฤดูร้อน โดยระบุว่า หากนักกีฬาไทยคว้าเหรียญรางวัลจะได้รับเงินอัดฉีด ดังนี้
• เหรียญทอง 12,000,000 บาท
• เหรียญเงิน 7,200,000 บาท
• เหรียญทองแดง 4,800,000 บาท
ส่วนเงื่อนไขการจ่ายตอบแทน นักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัล มีสิทธิ์เลือกรูปแบบการรับเงินรางวัลจาก 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบที่ 1 จ่ายเป็นเงินก้อนในอัตราร้อยละ 50 ที่เหลืออีกร้อยละ 50 แบ่งจ่ายเป็นรายเดือน ภายในระยะเวลา 4 ปี
แบบที่ 2 จ่ายเป็นเงินก้อนทั้งหมดในครั้งเดียว แต่เงินรางวัลจะลดลง โดยเหรียญทองได้ 10,000,000 บาท, เหรียญเงิน 6,000,000 บาท และเหรียญทองแดง 4,000,000 บาท
รายงานล่าสุด พบว่า ขณะนี้ “น้องเทนนิส” พาณิภัค ได้รับเงินรางวัลอัดฉีดทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชนแล้ว 21,880,000 บาท ซึ่งประกอบด้วยเงินอัดฉีดจากกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ 12,000,000 บาท ตามเกณฑ์เหรียญทอง
ขณะเดียวกัน สหพันธ์สมาคมกีฬาแห่งชาติ และชมรมกอล์ฟหลักสูตรสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เพื่อความมั่นคงขั้นสูง ได้มอบเงินอัดฉีดอีก 1,000,000 บาท มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 1,000,000 บาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 3,000,000 บาท บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 1,000,000 บาท และนายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีก 1,000,000 บาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ได้กำหนดให้เงินรางวัลเป็นรายเดือนแก่นักกีฬาเหรียญโอลิมปิก รวม 20 ปี โดยเหรียญทองได้รับเดือนละ 12,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,880,000 บาท
ส่วน "น้องแต้ว" สุดาพร แม้ขณะนี้จะการันตีอยู่ที่เหรียญทองแดง แต่เงินอัดฉีดเริ่มทยอยเข้ามาเติมกำลังใจแล้ว โดยมีเงินอัดฉีดจากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) และ พันธมิตร ของสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย มอบเงินรางวัลอัดฉีดพิเศษ 2,000,000 บาท
ขณะเดียวกัน ตามเกณฑ์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เหรียญทองแดงโอลิมปิก นักกีฬาจะได้รับเงินรางวัล 4,800,000 บาท ตามหลักเกณฑ์จ่ายในอัตราร้อยละ 50 และแบ่งจ่ายรายเดือน 4 ปี
นอกจากนี้ ยังได้จะได้รับเงินรายเดือนจากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ สำหรับเหรียญทองแดง 8,000 บาท รวม 20 ปี เป็นเงิน 1,920,000 บาท ส่งผลให้ขณะนี้น้องแต้ว มีเงินอัดฉีดเบื้องต้นแล้ว 8,720,000 บาท
ที่มา : ThaiPBS, คม ชัด ลึก, กรุงเทพธุรกิจ, กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
#รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์คลิกอ่านทันข่าว